"ดร.ศุภวุฒิ" แนะรื้อแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี -ห่วงเศรษฐีกว้านซื้อธุรกิจรายย่อย
นักวิชาการแนะ รื้อแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี เน้นท่องเที่ยวสุขภาพรับสังคมสูงวัย ปรับภาคการเกษตรใช้เทคโนโลยีลดต้นทุน ชี้โควิด-19 ถ่างช่องว่างความเหลือมล้ำ นายทุนแห่กว้านซื้อธุรกิจรายย่อย
เมื่อวันที่ 5 พ.ย. 63 ที่องค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย หรือ ไทยพีบีเอส ดร.ศุภวัฒิ สายเชื้อ ที่ปรึกษากลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร กล่าวว่า การการที่ประเทศไทยปลอดผู้ติดเชื้อภายในประเทศต้องแลกมากับต้นทุนทางเศรษฐกิจที่สูงมาก จากการประเมินของ IMF ทั้งโลกปีนี้ GDP จะติดลบ 4.4% และในปีหน้า 2564 จะบวกขึ้นมา 5.2% ส่วน GDP ไทยปีนี้ติดลบไปถึง 7.8% แต่ในปีหน้าจะบวกขึ้นมาแค่ 3.6 % ก็ยังติดลบอยู่ดี
ทั้งนี้การบริโภคภายยังไม่สามารถกระตุ้นเศรษฐกิจได้มากพอ เพราะพึ่งพาการท่องเที่ยว ตรงนี้ต้องมีการทบทวนเรื่องแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ซึ่งเขียนระบุไว้ว่าจะทำให้สัดส่วน GDP ในภาคการท่องเที่ยวมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นถึง 30 % ในอีก 20 ปีข้างหน้า ขณะที่ทุกวันนี้พึ่งพาสัดส่วนการท่องเที่ยวอยู่ถึง 18 % ของ GDP แต่เมื่อเกิด covid-19 ก็เหลือ 0%
ในขณะที่โครงการ EEC เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก 3 โครงการหลักก็จะเป็นโครงการที่พึ่งพาการท่องเที่ยวเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นรถไฟเชื่อม 3 สนามบิน ก็เป็นโครงการที่ต้องพึ่งพานักท่องเที่ยว ศูนย์ซ่อมเครื่องบิน MRO ของการบินไทย บมจ.การบินไทย ก็ล้มละลายเข้าสู่แผนฟื้นฟู ในขณะที่เมืองการบินอู่ตะเภาก็ยังเป็นโมเดลธุรกิจที่ต้องพึ่งพาการท่องเที่ยวเช่นเดียวกัน
ดร.ศุภวัฒิ มีข้อเสนอ 5 ด้าน คือ 1. จากเดิมเคยคิดจะพึ่งพิงการท่องเที่ยวตอนนี้ กำลังจะถูกดิสรัปไปหมด การประเมินของแบงค์ชาติคาดว่าในปีหน้า อย่างมากที่สุดจะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติ เข้ามาถึง 9 ล้านคน จากเดิมที่มีถึง 40 ล้านคน จะทำอย่างไรให้เจ้าร้านคนนี้มีการใช้จ่ายต่อหัวเพิ่มขึ้นจากเดิมหัวละ 50,000 บาทเป็นหัวละ 100,000 บาท
2. ปัจจุบันโครงสร้างประชากรที่เข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ นโยบายส่งเสริมการท่องเที่ยวอาจต้องควบคู่ไปกับการรักษาพยาบาล และมุ่งต้อนรับนักท่องเที่ยวสูงวัยที่ร่ำรวย หนีหนาวมาจากเมืองนอก มาอยู่ไทยเป็นเดือน ซึ่งต้องปรับโครงสร้างพื้นฐานให้รองรับ wellness tourism หรือเป็น aging Center
3. อุตสาหกรรมยานยนต์ตอนนี้ ถึงจุดอิ่มตัว ความต้องการซื้อลดลง ทางออกก็คือมุ่งไปที่การผลิตรถยนต์ไฟฟ้า ซึ่งการเปลี่ยนผ่านจากรถยนต์สันดาปภายใน มาเป็นรถยนต์ไฟฟ้าได้อย่างรวดเร็ว ต้องพัฒนาแบตเตอรี่ให้ทนทาน จะทำให้เกิดอุตสาหกรรมใหม่
4. แก๊สธรรมชาติในอ่าวไทยกำลังจะหมดลง แต่ 4 ปัจจัยการผลิต ได้แก่ เทคโนโลยี สินเชื่อ แรงงาน ก็รวมถึง พลังงานด้วย เมื่อพูดถึงพลังงาน ก็ไม่เอาพลังงานจากนิวเคลียร์ จึงต้องเน้นพลังงานทางเลือก เช่นโซล่าเซลล์ พลังงานจากแสงอาทิตย์ เป็นเช่นนั้นจะต้องสร้าง Storage เพื่อเก็บพลังงาน ดังนั้นต้องลดบทบาทของ กฟผ.ลงเป็นเพียงผู้สำรองไฟในช่วงขาดแคลน
5. ภาคการเกษตร ซึ่งมีคนจนเยอะมาก ผลผลิตคิดเป็น 8-10 % ของ GDP แต่ใช้พื้นที่มากที่สุดในประเทศถึง 50% จึงต้องมาทบทวนเรื่องการใช้เทคโนโลยีเพื่อให้เกิดความแม่นยำในการทำการเกษตรเพื่อได้สินค้าคุณภาพสูง ปลอดสารเคมี และลดต้นทุนการผลิต
"ต้องเข้าไปดู 5 เรื่องนี้หากต้องการเปลี่ยนโครงการเศรษฐกิจ" ที่ปรึกษากลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร กล่าว
ชี้โควิด-19 ถ่างช่องว่างความเหลื่อมล้ำสูงขึ้น
ดร.ศุภวัฒิ กล่าวอีกว่า วิกฤติครั้งนี้ทำให้ความเหลื่อมล้ำเพิ่มสูงขึ้นอีกมาก ดูตัวอย่างจากโรงแรม 2 ดาว 3 ดาว ที่รับผลกระทบไม่มีนักท่องเที่ยวก็จะถูกนายทุนเศรษฐีกว้านซื้อ ถ้าจะแก้ปัญหาส่วนนี้จริงๆรัฐบาลควรจะให้ผู้ประกอบการ เป็นผู้คิด เปลี่ยนโครงสร้าง แล้วธนาคารปล่อยเงินกู้ รัฐเพิ่มทุนให้อีก ซึ่งสามารถทำได้เพราะตอนนี้เงินเฟ้อต่ำมาก โดยรัฐบาลสามารถหารายได้ด้วยการขาย Government bonds หรือ ออกพันธบัตรรัฐบาลเพื่อหารายได้เพิ่มอีก
ขณะที่ น.ส.สฤณี กล่าวว่า รัฐต้องเพิ่มโอกาสคนจน โมเดลเศรษฐกิจ ที่ส่งเสริมให้ชุมชนมีส่วนร่วมมีให้เห็นหลายโมเดล สามารถนำมาปรับใช้ได้ ในขณะเดียวกันต้องมีการปฏิรูปภาษี ซึ่งคนรวยที่ใช้ทรัพยากรนั้นก็ต้องจ่ายภาษีและต้องเป็นภาษีแบบก้าวหน้า และอีประการสำคัญคือ ต้องจริงจังการสร้างรัฐสวัสดิการ อย่างเท่าเทียม ทั่วถึงมากขึ้น เพื่อที่จะลดปัญหาความเหลื่อมล้ำระยะยาว.
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น