กู้ภัยถ้ำหลวงมีถึง 3 แผน แต่จัดการโควิด-19 มีกี่แผน
ย้อน 3 ปี ติดถ้ำ นับถอยหลัง 120 วันเปิดประเทศ “วีระศักดิ์” ชี้การสื่อสารเป็นพลังสำคัญช่วยเรียกความเชื่อมั่น “ผศ.ทวิดา” ระบุ Single Command ไม่ใช่การรวมศูนย์อำนาจ
เย็นวันที่ 23 มิถุนายน 2561 จากข่าวภูมิภาคเล็กๆ กลายเป็นข่าวใหญ่ในระดับโลกในอีกไม่กี่สัปดาห์ต่อมา ในมุมมองของนักข่าวภาคสนามที่เป็นการเกาะติดสถานการณ์ นี่เป็นการรายงานข่าวที่กินเวลายาวนานนับเดือน ที่ต้องอยู่ในพื้นที่กับการกู้ภัย 13 ชีวิตที่ทุกสายตาต่างจับจ้องและเอาใจช่วย
3 ปีผ่านไปวนอุทยานแห่งชาติถ้ำหลวง ขุนน้ำนางนอน ถูกพัฒนากลายเป็นอุทยานแห่งชาติ พื้นที่โดยรอบกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงแห่งใหม่ของจังหวัดเชียงราย ความสำเร็จในการกู้ภัยครั้งนั้นทำให้หลายฝ่ายถอดบทเรียน และพบจุดแข็งสำคัญหลายด้าน 1 ปีต่อมาเกิดวิกฤตโรคระบาดขนาดใหญ่โควิด-19 ที่ส่งผลกระทบกับคนทั้งโลก ขนาดของภาวะวิกฤตใหญ่กว่าการกู้ภัยในถ้ำหลวงหลายเท่า แต่หลักการและจุดแข็งของความสำเร็จในการจัดการความเสี่ยงในภาวะวิกฤตในอดีต จะสามารถนำมาปรับใช้กับวิกฤตโควิด-19 ครั้งนี้อย่างไร
“วีระศักดิ์ โควสุรัตน์” สมาชิกวุฒิสภา อดีต รมว.การท่องเที่ยวและกีฬา อีกหนึ่งเบื้องหลังในภารกิจกู้ภัยถ้ำหลวง ยังคงจำเหตุการณ์ความร่วมมือร่วมมือของคนทุกภาคส่วนได้เป็นอย่างดี ถ้าหากจะเปรียบเทียบเหตุการณ์ระหว่างเด็กติดเด็ก13 คนติดในถ้ำหลวง กับการแก้ไขปัญหาโรคระบาดขนาดใหญ่ มีหลายปัจจัยที่ต่างกัน แต่พ่อจะมองหาปัจจัยร่วมคือเรื่องของการสื่อสาร
เหตุการณ์ถ้ำหลวงมี “นายณรงค์ศักดิ์ โอสถธนากร” อดีตผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย หรือที่เรียกว่าผู้ว่าหมูป่า เป็นผู้บัญชาการเหตุการณ์และและเป็นคีย์แมนในการให้ข้อมูลหลักเพียงคนเดียว ข้อมูลทุกข้อมูลจะได้รับการยืนยันว่าจริงหรือไม่ จากการแถลงข่าวรายวัน และยังได้เห็นการจัดระเบียบสื่อมวลชน และการรายงานข่าว ที่ไม่ให้กระทบกับการทำงานของเจ้าหน้าที่ หรือไม่ให้กลายเป็นอุปสรรคการทำงานของเจ้าหน้าที่
“ภาวะวิกฤตโควิด-19 เวลาผ่านมาเป็นปีมีผู้รู้ให้ความเห็นมากมายการสื่อสารกระจัดกระจายหลายด้าน ไม่เป็นหนึ่งเดียว ต้องยอมรับว่าการสื่อสารเป็นพลังสำคัญในภาวะวิกฤต ที่จะช่วยทั้งเรียกความเชื่อมั่นและทำให้สถานการณ์ไม่ตื่นตระหนกไปได้”
สอดคล้องกับ “ผศ.ทวิดา กมลเวชช” คณบดีคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในฐานะนักจัดการภัยพิบัติ ระบุว่าการสื่อสารในภาวะวิกฤตจะต้องสื่อสารไปถึงอนาคต และการจัดการในภาวะวิกฤตย่อมมีแผนหลัก แผนสำรองและแผนสุดท้ายเสมอ อาจจะไม่เป็นธรรมนักหากจะเปรียบเทียบเหตุการณ์วิกฤตที่มีขนาดต่างกันทั้งสองเหตุการณ์ระหว่างถ้ำหลวงกับโควิด-19 แต่หากพิจารณาบนหลักการของการจัดการความเสี่ยง จะพบว่า การกู้ภัยถ้ำหลวงมีการวางแผนหลักคือการนำเด็กออกจากหน้าถ้ำ แผนรองคือสำรวจโพรงต่างๆที่อยู่บนภูเขาและแผนสุดท้ายคือการเจาะภูเขาเพื่อช่วยเหลือชีวิต ซึ่งทั้ง 3 แผนดำเนินการไปพร้อมกันโดยไม่รู้ว่าแผนใดจะสำเร็จก่อน แต่แผนหลักหรือแผน A ถูกประเมินแล้วว่าจะเป็นแผนที่มีความเป็นไปได้มากที่สุด
“วิกฤต covid-19 ซึ่งขนาดใหญ่กว่า กินระยะเวลามา 2 ปีมีเป็นล้านแผนในการจัดการกับหลายเหตุการณ์ และหลายเป้าหมาย ถ้าเหตุการณ์ถ้ำหลวง เป้าหมายคือการช่วยเด็กออกจากถ้ำ ส่วนโควิด-19 เป้าหมายคือการจัดหาวัคซีนให้เร็วที่สุด แผนการจัดหาวัคซีนในปัจจุบันมีแผนหลัก แต่มีแผนสำรอง และแผนสุดท้ายหรือไม่ ความชัดเจนของแผนการจัดการจะนำไปสู่ความชัดเจนของการสื่อสาร ซึ่งจะนำไปสู่ความเข้าใจร่วมกันของคนในสังคม และนำไปสู่การให้ความร่วมมือ”
ขณะที่หลักการของการสั่งการแบบเชิงเดี่ยวหรือ Single Command ไม่ใช่การรวมศูนย์อำนาจ หรือสั่นคนเดียว แต่หมายความถึงการสั่งการทั้งระบบ อยากจำภาพหน้าถ้ำที่ใช้ Single Command ในพื้นที่น้อย และใช้ในภาวะการฉุกเฉินที่มีผู้บัญชาการเหตุการณ์หน้างาน ส่วนระบบที่เป็นการสั่งการแบบคำสั่งเดียวในขนาดใหญ่ขึ้นอย่าง ศบค. ต้องใช้วิธีการสั่งให้เกิดเอกภาพของการประสานงานกับทุกๆหน่วยทั้งหน่วยที่ไม่มีปฏิบัติการภายใต้พ.ร.บ. เดียวกัน และหน่วยที่อยู่ในพื้นที่ปลายทาง ที่มีบริบทต่างกัน ดังนั้นมันจะไม่ใช่การสั่งด้วยคนคนเดียวแน่นอน
120 เปิดประเทศ ปฏิบัติการกู้ภัยจากโรคระบาด?
ถ้าการช่วยชีวิตเด็กมีดีเดย์ของวันที่จะต้องนำเด็กออกจากถ้ำ การขีดเส้นเปิดประเทศ 120 วัน ไม่ต่างอะไรกับการกู้ภัยชีวิตของคนทั้งประเทศ ปฏิเสธไม่ได้ว่าผลกระทบจากโรคระบาด ทำให้หลายธุรกิจไปต่อไม่ได้ หนึ่งในนั้นคือภาคการท่องเที่ยว ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมหลักของประเทศการเปิดประเทศจึงเป็นทางเดียวที่จะทำให้ ภาคเศรษฐกิจ และปากท้องคนรากหญ้าฟื้นคืนกลับมา แต่ก็ดูเหมือนว่าจะมีความเสี่ยงมากมายหลายด้านเหลือเกิน
การนำร่องเปิดประเทศที่จ.ภูเก็ต หรือ “ภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์” อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา บอกว่า เหมือนเป็นการเปิดหน้าต่างบ้าน แต่ยังไม่เปิดประตู ที่ต้องเปิดหน้าต่างก็เพื่อดูว่าลมแรงแค่ไหน ฝนสาดมากน้อยอย่างไรก่อนจะเปิดประตูบ้าน คือเปิดทั้งประเทศ
การใช้จ.ภูเก็ตเป็นแซนด์บล็อกซ์ เพื่อทดสอบทั้งเรื่องของจํานวนผู้ติดเชื้อจะเพิ่มขึ้นหรือไม่หลังจากการฉีดวัคซีนไปแล้ว ศักยภาพในการรองรับผู้ติดเชื้อ การบริหารจัดการจะเป็นอย่างไรเมื่อรับคนต่างชาติเข้ามาเที่ยวจริงๆ เม็ดเงินทางเศรษฐกิจจะเพิ่มมากขึ้นเท่าไหร่ แต่เกาะภูเก็ตจะเป็นกระบะทรายให้ทดลองได้ ก็ต้องได้รับความเห็นชอบจากประชาคม คนจังหวัดภูเก็ต ซึ่งทุกฝ่ายก็เห็นด้วยจึงเดินหน้าตามกำหนดการเดิมคือ 1 กรกฎาคม
ถามหาความเห็นอกเห็นใจที่มาจาก “นายกรัฐมนตรี”
“500 กว่าวันแล้วที่อยู่กับโควิด-19 ความเห็นอกเห็นใจต้องไม่ได้มาจากฝั่งของประชาชนอย่างเดียว รัฐเองก็ต้องแสดงความเห็นอกเห็นใจ หรือ เข้าอกเข้าใจประชาชน ผู้นำบางท่านอาจต้องมีการปรับสื่อสารที่เข้าใจมากกว่านี้ ทำให้คนรู้สึกว่าเราเจ็บปวดเหมือนกัน”
“ผศ.ทวิดา” ในฐานะนักรัฐศาสตร์สะท้อนมุมมองที่มีต่อการสื่อสารในภาวะวิกฤตของนายกรัฐมนตรี และฝาก 3 เรื่องเพื่อการเดินต่อไปข้างหน้า
1. มองให้เห็นเหตุการณ์ที่ไม่พึงประสงค์ที่จะเกิดขึ้น ความสามารถนี้ต้องมีอยู่ในบริบทของผู้นำ มองให้ออกว่าจะต้องเจออะไร อย่าเอาแต่มองภาพสวยงาม
2. การทำให้ข้อมูลเป็นเอกภาพ และใช้ได้จริงในการตัดสินใจทั้งในระดับนโยบายและพื้นที่
3. ในวิกฤตเป็นภาวะที่เราไม่หาฮีโร่ วิกฤตเป็นภาวะที่ฮีโร่เกิดขึ้นเองหมายความว่าอย่าหิวแสง ช่วงชิงพื้นที่ และอย่าพยายามทำให้ตัวเองถูกมากกว่า และผิดน้อยกว่า ความรับผิดรับชอบเกิดร่วมกันทั้งระบบ ขอโทษไม่เป็นไรแต่ต้อง Action ให้ไวและอย่าให้มีความผิดพลาด เพื่อต้องขอโทษซ้ำ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น