“ร้านอาหารรอดตายรายวัน” เสียงสะท้อนภาคธุรกิจ มอง “วัคซีน” คือ ทางออก
นักเศรษฐศาสตร์ ชี้ มาตรการคุมโรคต้องมาพร้อมการเยียวยา จี้ รัฐเร่งหาวัคซีนฉีดโดยเร็วทดแทนล็อกดาวน์ หอการค้าไทย ลุ้น “ภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์” ดึงรายได้จากนักท่องเที่ยว กระตุ้น GDP
“นายกรัฐมนตรีตัดสินใจถูกทางที่ไม่ล็อกดาวน์กรุงเทพฯ”
“สนั่น อังอุบลกุล” ประธานกรรมการหอการค้าไทย กล่าว
สนับสนุนการตัดสินใจของนายกรัฐมนตรี ที่จะเปิดประเทศ 120 วัน ซึ่งจะสามารถช่วยสร้างความมั่นใจให้กับคนต่างชาติว่าประเทศไทยมีความพร้อมแล้ว และมีความจำเป็นต้องนำเงินจากต่างประเทศเข้ามาในเมืองไทย
การนำเงินมาเยียวยา หามาตรการมากระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศยังไม่เพียงพอ การท่องเที่ยวจำเป็นจะต้องเปิดเพื่อให้ชาวต่างชาติเข้ามา และทำให้นักธุรกิจต่างชาติสามารถเดินทางมาในไทยได้ อีกทั้งยังเป็นฤดูกาลที่จะต้องสั่งสินค้า ลูกค้าจากประเทศต่างๆ จะสามารถเดินทางเข้ามาไทย และจะทำให้คนไทยสามารถเดินทางไปต่างประเทศเพื่อหาออเดอร์จากต่างประเทศได้
แม้ปัจจุบันผู้ติดเชื้อจะแตะ 3,000-4,000 คนต่อวัน จนแพทย์หลายคนเห็นตรงกันว่าการล็อกดาวน์มีประสิทธิภาพมากที่สุดในการควบคุมโรคขณะนี้ แต่ “ประธานกรรมการหอการค้าไทย” มองว่า การจัดหาวัคซีนให้เร็วที่สุด และฉีดกับประชาชนจำนวนมากให้เร็วที่สุดคือทางออก โดยคาดว่าการเริ่มต้นเปิดประเทศการเดินหน้าเปิดประเทศ ด้วยการนำร่อง “ภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์” วันที่ 1 ก.ค. นี้จะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาอย่างแน่นอน ขณะที่ภาพรวมของเศรษฐกิจ GDP ในสิ้นปี 2564 เชื่อว่าจะบวกอย่างน้อย 0.53% หรือถึง 2% ได้
ร้านอาหารประเมินรอดตายรายวัน
แม้ตัวเลข GDP ยังเป็นบวกตามการประเมินของประทานสภาหอการค้าไทยเพียงเล็กน้อย แต่บรรยากาศการทำมาหากินของหลายธุรกิจิ โดยเฉพาะธุรกิจร้านอาหารที่ได้รับผลกระทบเป็นกลุ่มแรกแรกจากมาตรการควบคุมโรค ยังมันไม่เห็นการฟื้นตัว ทำได้เพียงประคับประครองเป็นรายวัน
เสียงสะท้อนจาก “สรเทพ โรจน์พจนารัช” ประธานชมรมผู้ประกอบธุรกิจร้านอาหาร แม้เห็นด้วยกับแนวทางรัฐบาลที่ยังไม่ประกาศล็อกดาวน์ แต่การ Worl From Home ของพนักงานหลายบริษัท และผู้คนที่เริ่มล็อคดาวน์ด้วยความสมัครใจ ก็ทำให้บรรยากาศร้านอาหารไม่คึกคัก และต้องประเมินกันแบบวันต่อวันโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อต้องหยุดขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ซึ่งมีสัดส่วนรายได้ของร้านอาหารถึง 30% ทำให้ยังมองไม่เห็นภาพว่า ธุรกิจร้านอาหารจะกลับมาฟื้นตัวได้โดยเร็ว
“อย่างน้อยการไม่ล็อคดาวน์ ยังพอเรียกความเชื่อมั่นในเชิงจิตวิทยาว่าจะมีลูกค้าบางส่วนสามารถเดินทางมานั่งกินที่ร้านอาหารได้ตามปกติ พอมีข่าวว่าจะล็อกดาวน์ คนก็หายไป”
แม้ “สรเทพ” รับรู้ถึงความจำเป็นทางด้านการแพทย์ในการควบคุมโรควแต่เชื่อว่ายังมีทางอื่นที่สร้างจุดสมดุลที่ดีกว่าการล็อกดาวน์ คือ การฉีดวัคซีน ให้เร็วและเพียงพอ จะยิ่งทำให้สถานการณ์ดีมากขึ้น
สำหรับผู้ประกอบการที่ผ่านมาแม้จะมีนโยบายช่วยเหลือจากรัฐ เช่นการปล่อยเงินกู้ แต่ก็มีเงื่อนไขมากมายและซับซ้อน ทำให้บางส่วนไม่สามารถเข้าถึงเข้าถึงแหล่งเงินทุนจำนวนมาก ต้องปิดกิจการไปจากวิกฤติครั้งนี้ ถ้ายังไม่มีความชัดเจนว่าเปิดเมืองได้เมื่อไหร่ ก็ยิ่งเป็นมองไม่เห็นแสงสว่าง
มาตรการคุมโรคต้องมาพร้อมการเยียวยา
จากสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19 ในประเทศไทยในปัจจุบันกลายเป็นการระบาดของสายพันธุ์แอลฟาและเดลตาที่แพร่กระจายเชื้อได้เร็วกว่าเดิมและทำให้วัคซีนที่ยังมีอยู่อย่างจำกัด อาจจะได้ผลในการป้องกันการติดเชื้อลดลง
เริ่มมีความต้องการเตียงผู้ป่วยวิกฤต หรือ ไอซียูเพิ่มขึ้นในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลไม่น้อยกว่า 30 เตียงต่อวัน แม้จะทำการระดมทรัพยากรเพิ่มเตียงเพิ่มคนอย่างไรก็อาจจะไม่เพียงพอในที่สุด จนอาจจะทำให้อัตราป่วยตายของผู้ติดเชื้อโรคโควิดสูงมากขึ้น และเริ่มมีผลกระทบต่อผู้ป่วยกลุ่มอื่น ๆ
“วิโรจน์ ณ ระนอง” ผู้อำนวยการวิจัยด้านเศรษฐศาสตร์สาธารณสุขและการเกษตร TDRI ระบุว่า รัฐบาลสามารถเพิ่มประสิทธิผลในการควบคุมการระบาดของโรคโควิด-19 โดยบูรณาการนโยบายและมาตรการควบคุมโรคซึ่งบริหารจัดการโดย ศบค. กับมาตรการช่วยเหลือเยียวยาด้านเศรษฐกิจและสังคมของประชาชนกลุ่มเปราะบาง ให้สอดคล้องและเสริมกันในแต่ละช่วงเวลา
“ผมยังมองว่าประเทศไทยโชคดีที่ยังมีหนี้สาธารณะ 60% ซึ่งน้อยกว่าประเทศในแถบยุโรปซึ่งมีหนี้สูงกว่านี้มากหากจำเป็นจริงๆรัฐบาลยังสามารถกู้เงินเพิ่มเพื่อมาใช้แก้ปัญหา โควิด-19 แต่การกู้เงินที่ผ่านมาต้องตรวจสอบให้ได้ว่าใช้ไปตรงวัตถุประสงค์และคุ้มค่าด้วยเช่นกัน”
นอกจากการรัฐต้องเร่งปิดช่องว่างของการดำเนินมาตรการควบคุมโรคบางอย่างซึ่งยังไม่มีประสิทธิผลเต็มที่ สร้างแรงจูงใจด้านเศรษฐกิจมีผลต่อการควบคุมโรค ช่วยส่งเสริมการปฏิบัติตามมาตรการควบคุมโรคสำหรับประชาชนบางกลุ่มหรือบางบริบท โดยเฉพาะการสร้างความร่วมมือในการเข้าตรวจคัดกรอง และการช่วยเหลือผู้ถูกกักตัวและครอบครัว สร้างการจ้างงานระยะสั้นในกลุ่มคนที่เชื่อมโยงกับพื้นที่การระบาด และการสร้างแรงจูงใจในการเข้ารับการฉีดวัคซีนของประชาชน
ล็อกดาวน์ระยะสั้นยังจำเป็น - ไม่ควรกระจายวัคซีนเบี้ยหัวแตก
บทความ จาก “ผศ.นพ.บวรศม ลีระพันธ์” รองผู้อำนวยการศูนย์นโยบายและการจัดการสุขภาพ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล และ “ดร.สมชัย จิตสุชน”ผู้อำนวยการวิจัย นโยบายด้านการพัฒนาอย่างทั่วถึง สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) เขียนเมื่อ 25 มิถุนายน 2564 “เรายังทำอะไรเพิ่มเติมได้บ้างในสถานการณ์การระบาดที่เริ่มควบคุมได้ลำบากมากขึ้น?” มีข้อสังเกตุว่า…
สิ่งที่เราน่าจะได้ทำเกือบเต็มที่แล้วก็คือ การขยายขีดความสามารถของโรงพยาบาล ซึ่งเป็นการแก้ปัญหาเชิงรับที่ปลายเหตุ แต่เรายังมีนโยบายและมาตรการเชิงรุกที่น่าจะพอทำเพิ่มเติมได้อีกอย่างน้อย 4 ด้าน เพื่อจัดการสถานการณ์การระบาดที่เริ่มควบคุมได้ยากลำบากมากขึ้น ได้แก่ การปรับนโยบายการตรวจโรค การปรับมาตรการกักแยกโรค การปรับนโยบายวัคซีนเฉพาะหน้า และการใช้นโยบายล็อคดาวน์อย่างมีประสิทธิภาพ
1) พิจารณาการใช้ชุดตรวจโรคด้วยตนเองโดยประชาชน ควรเพิ่มการตรวจน้ำลาย (pooled saliva RT-PCR test) ในกลุ่มพนักงานโรงงานหรือสถานที่ทำงานอื่น ๆ เพราะใช้ทรัพยากรที่หน่วยตรวจน้อยกว่าและตรวจซ้ำได้บ่อย ๆ จะได้นำขีดความสามารถของการตรวจเยื่อบุโพรงหลังจมูก (nasopharyngeal swab RT-PCR test) ที่เราใช้อยู่เดิมไปตรวจกลุ่มเสี่ยงอื่น ๆ
2) ควรปรับให้มีระบบการกักแยกโรคที่บ้าน (home isolation) เฉพาะสำหรับประชากรที่ผลตรวจเป็นบวกชัดเจนแต่เป็นกลุ่มที่น่าจะจัดการตัวเองได้เพียงพอที่จะทำการเว้นระยะห่างทางกายภาพในครัวเรือน จนทำให้มีโอกาสแพร่เชื้อในครัวเรือนและในชุมชนได้ไม่มาก เพื่อดึงเตียงโรงพยาบาลกลับไปให้ประชากรกลุ่มเสี่ยงที่อาจจะยังไม่มีทรัพยากรเพียงพอที่จะจัดการตัวเองได้และตอนนี้ยังเข้าไม่ถึงโรงพยาบาล
3) ไม่ควรกระจายวัคซีนเป็นเบี้ยหัวแตกไปทั่วประเทศ ในสถานการณ์ล่าสุดนี้เพราะอย่างไรก็ตามด้วยจำนวนและประสิทธิผลของวัคซีนที่มีอยู่ก็ไม่เพียงพอในการสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ในระยะสั้นได้ อย่างน้อยที่สุด หากเรายังต้องการเร่งฉีดวัคซีนที่เหลืออยู่ให้พื้นที่ระบาดหนัก (เช่น กทม.และปริมณฑล) ในขณะเดียวกันเราก็จำเป็นต้องมีมาตรการอื่นเพื่อป้องกันประชากรกลุ่มเสี่ยงในพื้นที่อื่นที่ยังไม่ได้รับวัคซีนด้วย
4) อาจจำเป็นต้องมีการใช้นโยบายล็อคดาวน์ “ระยะสั้น” เฉพาะในพื้นที่ระบาดหนัก (เช่น กทม.และปริมณฑล) และทำเป็นครั้งคราว แต่ต้องปรับให้เป็นการล็อคดาวน์อย่างมีประสิทธิภาพอย่างแท้จริง ไม่ให้เหลือโอกาสที่ทำไม่ได้จริงตามแผนที่วางไว้ ทั้งการบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวด และการสร้างแรงจูงใจเพื่อให้ประชาชนทุกกลุ่มสามารถทำตามมาตรการล็อคดาวน์ในระยะเวลาที่กำหนด โดยไม่ทิ้งใครให้ต้องเผชิญปัญหาในการดำรงชีวิตแต่เพียงลำพัง
ท้ายที่สุดข้อเสนอมาตรการที่กล่าวถึงข้างต้นจะไม่สามารถมีประสิทธิภาพได้เต็มที่หากไม่มีการทำงานร่วมกันอย่างแท้จริงระหว่างกระทรวงสาธารณสุขและกรุงเทพมหานคร ซึ่งดูเหมือนจะเป็นปัญหาเรื้อรังมาตลอด
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น