“หมอชลน่าน” เล็งใช้ “วัด” เป็นสถานชีวาภิบาลดูแลผู้สูงอายุระยะสุดท้าย

ปรับเป้าควิกวิน 1 จังหวัด 1 สถานชีวาภิบาล เป็น 1 เขตสุขภาพอย่างน้อย 1 สถานชีวาภิบาล เผยต้นเดือน ..67 เตรียมเซ็น MOU กับสำนักพุทธฯ 



เมื่อวันที่ 26 .. 2566 คืบหน้านโยบาย 1 จังหวัด 1 สถานชีวาภิบาล ซึ่งเป็นนโยบายควิกวินของกระทรวงสาธารณสุขที่ประกาศไว้ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน2566 จะเห็นผลเป็นรูปธรรมในอีก 100 วันหรือประมาณเดือนกุมภาพันธ์ 2567 


นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขเปิดเผยกับ เก็บตกจากวชิรวิทย์ ว่าเดิมตั้งเป้าจะมีทุกจังหวัด แต่ ปรับเป้าลงมาเป็นเพียงแค่อย่างน้อยเขตสุขภาพละ 1 แห่งในเฟสแรก เพราะยอมรับในข้อจำกัดหลายด้าน โดยต้องต้องจัดสถานที่ที่มีความพร้อมเป็นสถานชีวาภิบาลในชุมชน อาจจะเป็นวัด ซึ่งกำลังทำกุฏิชีวาภิบาลไปพร้อมกัน โดยต้นเดือน ..2567 จะเซ็นเอ็มโอยูกับ สำนักงานพระพุทธศาสนา และวัดที่ประกาศพร้อมเป็นสถานชีวาภิบาล 


ส่วนเรื่องค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานในสถานชีวาภิบาลที่จะได้รับการสนับสนุนค่าบริการ จาก สปสช.​สิทธิบัตรทอง ต้องเป็นสถานบริการที่ขึ้นทะเบียนเป็นหน่วยบริการปฐมภูมิ


เราไม่ได้เอาเงิน สปสชมาสร้าง แต่เราให้เขาสร้าง แล้วมาเบิกเงินค่าบริการจากเราได้” รมว.สธ. กล่าว


ส่วนเงื่อนไขในการรับผู้สูงอายุเข้ามาดูแล คือเป็นผู้ป่วยติดเตียง ระยะท้าย ส่วนผู้ป่วยระยะ intermedia care และ long-term care ที่ยังไม่เข้าสู่ระยะสุดท้าย หากอยู่ใน โรงพยาบาลแล้วแยกออกมาเพื่อลดค่าใช้จ่ายก็เป็นไปได้ 


ด้าน นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี กรรมการและเลขานุการ คณะกรรมการพัฒนาระบบสุขภาพแห่งชาติ บอกว่า วัด มีความพร้อม มีทรัพยากร เจ้าอาวาสจำนวนไม่น้อยมีความตั้งใจจะดูแลประชาชน จึงจะนำร่องสถานชีวาภิบาลในวัด และจะเรียนรู้ส่วนรัฐต้องสนับสนุนค่าจ้างผู้ดูแลผู้สูงอายุ หรือ Care Giver 


ขณะที่ นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี เลขาธิการ สปสชเปิดเผยขั้นตอนว่า เริ่มจากการสำรวจผู้สูงอายุภาวะพึ่งพิงในระดับตำบลว่ามีความต้องการเท่าไร จากนั้นหาสถานที่จัดทำสถานชีวาภิบาล ที่มีความพร้อมในชุมชน ออกกติกาการเงินเข้ามาเสริม สิ่งที่จะอนุมัติเพิ่มเติมคือคือหน่วยงานที่จะเข้าไปดูแล


ในต่างจังหวัดเราไม่ได้ดูค่าใช้จ่ายเป็นรายเดือน แต่เราดูจำนวนคนที่ต้องดูแลเช่น 1 ตำบลมีผู้สูงอายุ 100 คนที่ต้องดู แปลว่าเราจ่ายเงิน 1-2 ล้าน และจ้างCare Giver อีก 5 แสนบาท เงินที่เหลือก็ซื้ออุปกรณ์ ดังนั้นในพื้นที่ต่างจังหวัดเชื่อว่ามีเพียงพอ” เลขาฯ สปสช. กล่าว


ลุงไสวอยากไปอยู่สถานชีวาภิบาล 


ยังมีผู้สูงอายุที่อยู่ในภาวะพึ่งพิงช่วยเหลือตัวเองไม่ได้อีกหลายคนที่ซ่อนอยู่ในชุมชนหลายแห่ง บางคนไม่มีลูกหลานดูแล บางคนโชคดีหน่อยยังมีญาติพี่น้องที่อยู่บ้านใกล้เรือนเคียง คอยช่วยเหลือ 


แต่ก็ต้องยอมรับว่าการดูแลผู้สูงอายุหนึ่งคนมีค่าใช้จ่ายไม่น้อย คนที่ดูแลผู้สูงอายุนอกจากจะแบบภาระครอบครัวทางอื่น แล้วการที่ต้องดูแลผู้สูงอายุยิ่งซ้ำเติมเข้าไปอีก


เก็บตกจากวชิรวิทย์ พบตัวอย่างเคสนี้อาศัยอยู่ .นนทบุรี ลุงไสว จันทร์ทิวา อายุ 86 ปีเริ่มมีอาการสมองเสื่อมหรืออัลไซเมอร์ คุณลุงแต่งงานกับภรรยาภรรยาซึ่งเสียชีวิตไปแล้วเมื่อปีก่อน ซึ่งภรรยาก็เป็นผู้ป่วยติดเตียงเหมือนกัน ทั้งคู่ไม่มีลูก แต่มีหลานซึ่งเป็นญาติที่อยู่ใกล้เคียงคอยดูแล 


ลุงไสว


ตอนนี้ นอกจากลุงไสวกำลังจะป่วยเป็นโรคสมองเสื่อมแล้ว ยังมีภาวะการขับถ่ายไม่เป็นเวลาต้องใส่แพมเพิร์ด โดย ปรียานุช จันทร์ทิวา หลานสาว เป็นคนเข้ามาเปลี่ยนให้วันละ 3 ครั้ง อีกทั้งยังเป็นโรคเบาหวานมีแผลที่เท้า โชคดีที่ยังมีหน่วยงานอย่าง มูลนิธิเส้นด้าย เข้าไปช่วยเหลือทำแผลเบาหวาน ไม่เช่นนั้นคงต้องตัดเท้าทิ้งไปแล้ว 


ด้าน ปรียานุช หลานสาวของลุงไสว บอกว่ายังไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับนโยบายสถานชีวาภิบาลมาก่อน แต่ที่ผ่านมาเคยโทรไปที่สายด่วนของ พมเพื่อที่จะหาบ้านพักคนชราให้คุณลุงไสวได้เข้าไปอยู่ เพราะต้องยอมรับว่าครอบครัวเริ่มจะแบกรับภาระไว้ไม่ไหว หากมีนโยบายสถานชีวาภิบาลเกิดขึ้นจริงก็อยากจะเอาคุณลุงเข้าไปร่วมเข้าโครงการด้วย ซึ่งก็จะช่วยลดภาระไปมาก เพราะทุกวันนี้อาศัยเพียงเงินจากอาชีพซักรีด ก็แทบจะไม่เพียงพออยู่แล้ว การดูแลผู้สูงอายุเพิ่มเข้ามาอีกยิ่งทำให้การใช้จ่ายไม่คล่องตัว 


แนะนโยบายสถานชีวาภิบาลควรครอบคลุมผู้สูงอายุติดบ้านที่ถูกทอดทิ้ง 


นนทวัฒน์ บุญบา ผู้อำนวยการมูลนิธิเส้นด้าย ในฐานะหน่วยงานที่ช่วยเหลือคนที่ตกหล่นเข้าไม่ถึงระบบสาธารณสุขมาตั้งแต่ช่วงโควิด-19 บอกว่า ยังมีผู้สูงอายุที่อยู่ในภาวะพึ่งพิงช่วยเหลือตัวเองไม่ได้อีกหลายคนที่ซ่อนอยู่ในชุมชนหลายแห่ง และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ไม่มีคนคอยดูแล จึงอยากให้รัฐทำงานให้ยืดหยุ่นกับภาคประชาสังคม ไม่ทำทับซ้อนแต่ทำต่อเนื่องกัน รัฐควรเป็นโครงสร้างพื้นฐานให้กับการทำงานของภาคประชาสังคม ช่วยกันผลักดัน 


เขาตั้งข้อสังเกตุถึงนโยบายสถานชีวาภิบาลของรัฐว่า ลักษณะผู้ป่วยระยะสุดท้ายไม่สามารถรอได้ แต่ที่ผ่านมาการใช้กระบวนการของรัฐต้องผ่านการรอ การประเมิน ขณะที่ผู้ป่วยระยะสุดท้ายมีเวลาสั้น เราอยากให้เขาจากไปสงบหรือ “ตายดี” ก็ควรจะรวดเร็วในการรับเคสผู้ป่วยเข้าไปดูแล 


ส่วนเงื่อนไขกับรับผู้สูงอายุเข้าไปอยู่ในสถานชีวาภิบาล ควรจะรวมไปถึงกลุ่มคนที่ถูกทอดทิ้งเพราะต้องบอกว่าปัจจุบันผู้สูงอายุที่อยู่ในติดบ้าน ติดเตียง ถูกทอดทิ้ง มีจำนวนมาก ขณะที่สถานดูแลผู้สูงในกทมและปริมณฑลมีไม่เพียงพอ  



ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

หมอมานพ แจงยิบ! เงื่อนไขใหม่ “มะเร็งรักษาทุกที่” ทำไมต้องมีใบส่งตัว

บัตรทอง ใช้งบผิดทาง ปลายปิดกับรพ.ใหญ่ ปลายเปิดกับร้านยา

“คลินิกชุมชนอบอุ่น” ยันได้ค่าเหมาจ่ายรายหัวบัตรทอง 10 บาท จริง!