คนกรุงป่วยฉุกเฉิน เข้าถึงรพ.ยากกว่าคนต่างจังหวัด
ศูนย์เอราวัณ เผย รพ.ปฏิเสธรับผู้ป่วยฉุกเฉินเฉลี่ย 60 ครั้ง/วัน เหตุ คนไข้คงค้างในห้องฉุกเฉินมีจำนวนมาก ด้าน จุฬาฯ แนะพัฒนาระบบส่งกลับรวดเร็ว ห่วงสิทธิข้าราชการไม่มีหน่วยบริการประจำ
![]() |
พญ.ธันยา ปิติยะกูลชร |
เมื่อวันที่ 19 ส.ค. 2567 คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี จัดประชุมนําเสนอผลการดําเนินโครงการวิจัยและแลกเปลี่ยนความคิดเห็น โครงการวิจัยเพื่อพัฒนาระบบการแพทย์ฉุกเฉิน
พญ.ธันยา ปิติยะกูลชร หัวหน้ากลุ่มงานบริการการแพทย์ฉุกเฉิน กทม. หรือ ศูนย์เอราวัณ กล่าวว่า โรงพยาบาลในกรุงเทพมหานคร แต่ละที่เตียงเต็ม และเผชิญปัญหาคนไข้คงค้างในห้องฉุกเฉิน ทำให้รับคนไข้รายใหม่ที่จะเข้าห้องฉุกเฉินไม่ได้ ก็ต้องหาโรงพยาบาลอื่น และในแต่ละที่ก็เต็มไปหมด ศูนย์จำเป็นต้องโทรวนหาเตียงอยู่โรงพยาบาลเพื่อขอให้ช่วยรับเคส บางเคสรออยู่ 2-4 ชั่วโมง ทำให้เสียโอกาสในการเข้ารับการรักษาอย่างรวดเร็ว
ศูนย์เอราวัณก็พยามปรับแนวทางเพื่อให้สามารถสามารถรับเคสฉุกเฉินตามแนวทางที่มีข้อตกลงกันไว้ แต่พอมาถึงหน้างานแพทย์บอกว่างานก็หนักไม่ไหว จึงปฏิเสธปฏิเสธด้วยเหตุผลที่ว่าเพื่อประโยชน์ของคนไข้ เพราะถ้าดูแลคนไข้เคสสีแดง อาการหนักหลายเคสพร้อมกัน คงดูแลรักษาได้ไม่ดี จึงต้องปฏิเสธเคสใหม่
สายที่โทรเข้ามาที่ศูนย์เอราวัณ มีสายเรียกเข้าประมาณ 2,500-3,000 สาย/วัน แต่ว่าสั่งการรถออกไปรับ 400 เคส ได้รับการปฏิเสธจากโรงพยาบาลประมาณ 60 ครั้งโดยเฉลี่ย/วัน แต่สุดท้ายก็หาโรงพยาบาลส่งให้ได้ แต่ระยะเวลาในการประสานนานขึ้นคนไข้ก็ต้องรอนานขึ้น
ถ้าคนกทม.ป่วยฉุกเฉินจะเข้าถึงโรงพยาบาลได้ยากกว่าคนต่างจังหวัด คือเรื่องจริง คนในวงการสาธารณสุขจะรู้ว่าปัญหาในกทม. ต่างจากที่อื่นเนื่องจากโรงพยาบาลต่างจังหวัดเป็นเครือข่ายเดียวกันของกระทรวงสาธารณสุข แต่กทม.ต่างคนต่างอยู่ มีทั้งเครือโรงเรียนแพทย์ โรงบาลทหาร โรงบาลตำรวจ โรงบาลเอกชน สามารถที่จะประสานงานเป็นเครือข่ายกัน แต่ไม่สามารถควบคุมการปฏิบัติงานด้วยกัน
“อีกประเด็นคือในพื้นที่ กทม. มีโรงพยาบาลเยอะ ดูเหมือนจะมีตัวเลือกให้เยอะ แต่ไม่ใช่ เพราะเกี่ยงกัน มองว่าที่อื่นก็รับได้ ที่อื่นก็อาจจะว่าง“ หัวหน้ากลุ่มงานบริการการแพทย์ฉุกเฉิน กทม. กล่าว
พญ.ธันยา กล่าวย้ำว่า เตียงในระบบตอนนี้มีไม่พอ และแย่ลงเรื่อยๆเห็นได้ชัดจากโรงพยาบาลเอกชนถูกตัดสิทธิ์ 30 บาทบัตรทอง ทำให้โรงพยาบาลรัฐ ต้องรับคนไข้มากขึ้น ปัญหาจะต้องหนักหน่วงมากๆ เพราะเกิดจากการที่คนไข้ถูกเทมาจากเอกชน ดังนั้นถ้ากระจายคนไข้ไปที่โรงพยาบาลเอกชนให้ช่วยรับ แต่รัฐก็จ่ายให้คุ้มค่าคุ้มทุน ขณะที่สร้างโรงพยาบาลรัฐเพิ่มกว่าจะสร้างเสร็จ ก็ใช้งบเหมือนกัน ใช้คนเหมือนกัน และคนไข้ใน กทม.รอไม่ได้แล้ว
ด้านผศ.นพ.สัมฤทธิ์ ศรีธำรงสวัสดิ์ ภาควิชาเวชศาสตร์ชุมชน คณะแพทย์ศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี หนึ่งในคณะผู้วิจัยหลัก กล่าวว่า แม้มีการพัฒนาการของนโยบาย ตั้งแต่นโยบาย EMCO สู่ UCEP ภาคเอกชน และล่าสุดมีการขยายผลสู่โรงพยาบาลภาครัฐ แต่ยังพบการปฏิเสธผู้ป่วย ทั้งผู้ป่วยที่ไปเข้ารับบริการในโรงพยาบาลด้วยตนเอง (walk-in) และ ผู้ป่วยที่รถกู้ชีพระดับต่างๆออกรับและไม่สามารถส่งตัวผู้ป่วยเข้าห้องฉุกเฉินในโรงพยาบาลต่างๆได้ โดยอาจเกิดจากอุปสรรค ที่ไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยกลไกทางการเงินการคลังสุขภาพ เช่นการที่ห้องฉุกเฉินไม่สามารถแอดมิทผู้ป่วยเข้าหอผู้ป่วยในได้ หรือการที่หอผู้ป่วยวิกฤต หรือหอผู้ป่วยในมีศักยภาพไม่เพียงพอ เป็นต้น
ผศ.นพ.สัมฤทธิ์ เสนอแนะว่าการแก้ปัญหาการปฏิเสธผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤตควรทำสองส่วนหลักคือ:
1. มีหน่วยงานที่บังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัดและโปร่งใส เพื่อดำเนินการตัดสินและลงโทษหน่วยบริการที่ปฏิเสธการรับคนไข้โดยไม่เป็นธรรม
2. สร้างหน่วยงานที่สามารถติดตามและกำกับทรัพยากรสุขภาพในหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชนแบบ real time รวมถึงการทบทวนมาตรการและข้อกำหนดเพื่อแก้ไขปัญหานี้
นอกจากนี้ ควรทบทวนการจ่ายค่าบริการผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤต (UCEP) และพัฒนาระบบสารสนเทศการเบิกจ่ายของโรงพยาบาลในสังกัดกระทรวงสาธารณสุข (UCEP ภาครัฐ) เพื่อให้มีประสิทธิผลมากขึ้น พร้อมทั้งดำเนินการวิจัยเพื่อตรวจสอบผลกระทบในระยะยาวและผลต่อผู้ป่วย เช่น ความแออัดของห้องฉุกเฉิน ผลลัพธ์การรักษา และอัตราการเสียชีวิต
ด้าน นพ.เพชร อลิสานันท์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการด้านการเงิน คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า สภาพห้องฉุกเฉินของโรงพยาบาลจุฬา มีผู้ป่วยคงค้างที่นอนรอเตียงจำนวนมาก จุฬาฯ ก็ไม่สามารถปฏิเสธคนไข้ได้ และต้องบอกว่าคนไข้ที่มาด้วย รถพยาบาลฉุกเฉิน ต้องแอดมินแทบทุกราย ซึ่งใช้คนเยอะ ใช้เงินเยอะ ทุกวันนี้ โรงพยาบาลภาครัฐ แบกรับภาระจากรัฐมากขึ้นเรื่อยๆ ในขณะที่ทรัพยากรมีไม่พอ แต่ความต้องการใช้มีมาก จากประชากรแฝงในพื้นที่
”ห้องฉุกเฉินเป็นปากทางเข้า แต่ข้างในเตียงเต็ม เสริมเตียงไม่รู้จะเสริมอย่างไร บุคคลากร ก็แบกรับจนหลังแอ่น เราต้องจับมือกันให้แน่นเพื่อต่อรอง ขณะที่อัตราจ่ายผู้ป่วยฉุกเฉิน สปสช. ก็ไม่ปรับมาเป็นเวลา 6 ปีแล้ว“ ผู้ช่วยผู้อำนวยการด้านการเงิน รพ.จุฬาฯ กล่าว
นพ.เพชร เสนอว่า ระบบเบิกจ่ายต้องเป็นธรรม และระบบส่งกลับไปยัง รพ.ต้นสังกัด ต้องรวดเร็ว เพราะคนมาห้องฉุกเฉินไม่จบที่ห้องฉุกเฉินแน่น และเป็นห่วงคนไข้สิทธิข้าราชการ เพราะไม่มีหน่วยบริการประจำเหมือนบัตรทอง เหมือนมีตัวเลือกเยอะ แต่อาจจะไม่มีให้เลือกเลย
ด้าน ดวงนภา พิเชษกุล ผู้ช่วยเลขาธิการ สปสช. กล่าวว่า เห็นด้วยกับการพัฒนาระบบส่งกลับ ขณะที่รพ.เอกชน ติดแบลกลิสต์เยอะมาก เตียงจึงหายไป แต่กำลังจะหลุดจากแบลกลิสต์ และกลับเข้าสู่ระบบบริการ จึงขอคุยกับ กทม.ซึ่งเป็นพื้นที่พิเศษ ยอมรับทรัพยากรไม่เพียงพอจริงๆ จำเป็นจะต้องแชร์ทรัพยากร ร่วมกัน
”อยากให้ช่วยคนก่อน ยังไม่อยากให้ปฏิเสธคนไข้“ ผู้ช่วยเลขาธิการ สปสช. ระบุ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น