ปฏิรูประบบบำบัดยาเสพติด โอนภารกิจ ‘กรมการแพทย์’ สู่ ‘กรมสุขภาพจิต’

เปิดโมเดลใหม่! รวมศูนย์บำบัดยาเสพติด 'ธัญญารักษ์' 7 แห่งภายใต้กรมสุขภาพจิต หวังเพิ่มประสิทธิภาพการรักษา กระทรวงสาธารณสุขปรับโครงสร้าง ชู 'Integration' แทน 'Collaboration' รมว.สธ. ยัน! ไม่กระทบงบ-บุคลากร 




การถ่ายโอนภารกิจด้านการบำบัดรักษาผู้ติดยาเสพติดจาก “กรมการแพทย์” ไปสู่ “กรมสุขภาพจิต” นับเป็นการปรับเปลี่ยนครั้งสำคัญในระบบสาธารณสุขไทย นับเป็นการแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้างที่มีมายาวนาน โดยเฉพาะการแยกส่วนการดูแลผู้ป่วยระหว่างสองกรม ซึ่งทำให้เกิดข้อจำกัดในการทำงานและมีนโยบายการขับเคลื่อนที่อาจแตกต่างกัน การรวมศูนย์การดูแลไว้ที่กรมสุขภาพจิตจะช่วยให้การทำงานเป็นไปในทิศทางเดียวกัน และทำให้ “นโยบายสุขภาพจิต” ของรัฐบาลเดินหน้าไปได้อย่า่งมีประสิทธิภาพ 


สำหรับความคืบหน้าการถ่ายโอนภารกิจด้านยาเสพติดจากกรมการแพทย์ไปสู่กรมสุขภาพจิต อธิบดีกรมการแพทย์ได้ลงนามคำสั่งมอบอำนาจให้อธิบดีกรมสุขภาพจิตเรียบร้อยแล้วเมื่อวันที่ 9 ตุลาคม 2567


การถ่ายโอนครั้งนี้ครอบคลุมการกำกับดูแล สถาบันบำบัดรักษาและฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติดแห่งชาติบรมราชชนนี (สบยช.) และโรงพยาบาลธัญญารักษ์ในส่วนภูมิภาคทั้ง 6 แห่ง รวมถึงอำนาจในการบังคับบัญชา การสั่งการ และการติดตามภารกิจต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการบำบัดรักษาและฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด


ขอบเขตการถ่ายโอน

  • โอนการกำกับดูแลสถาบันบำบัดรักษาและฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติดแห่งชาติบรมราชชนนี (สบยช.)
  • โอนการดูแลโรงพยาบาลธัญญารักษ์ในส่วนภูมิภาคทั้ง 6 แห่ง
  • ครอบคลุมทั้งระบบบริการในโรงพยาบาล เครือข่ายหน่วยบริการ และระบบชุมชน



นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน อธิบดีกรมการแพทย์ ชี้แจงว่า การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้สอดคล้องกับมาตรฐานสากลในการจัดการปัญหายาเสพติด และจะช่วยแก้ไขข้อจำกัดที่มีอยู่เดิม เนื่องจากผู้ป่วยยาเสพติดมักมีปัญหาสุขภาพจิตร่วมด้วย การรวมการดูแลไว้ที่หน่วยงานเดียวจะช่วยให้การรักษามีประสิทธิภาพมากขึ้น


การปรับเปลี่ยนครั้งนี้จะเป็นการยกระดับจากรูปแบบ "collaboration" หรือการร่วมมือระหว่างสองกรม ไปสู่ "integration" หรือการผสมผสานเป็นเนื้อเดียวกัน ซึ่งจะช่วยให้การทำงานมีความคล่องตัวและมีประสิทธิภาพมากขึ้น สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลในการแก้ไขปัญหายาเสพติดอย่างเป็นระบบ


ถึงแม้จะมีการถ่ายโอนอำนาจการบังคับบัญชาแล้ว แต่การแบ่งส่วนราชการใหม่ยังต้องผ่านการพิจารณาจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้ง ก.พ.ร., ก.พ. และสำนักงบประมาณ ซึ่งอาจใช้เวลาตั้งแต่ 1 เดือนถึง 12 เดือน โดยในระยะเปลี่ยนผ่านนี้ กรมการแพทย์จะยังคงดูแลเรื่องงบประมาณและการบริหารจัดการบุคลากร


ขั้นตอนการดำเนินการ

  • อธิบดีกรมการแพทย์ลงนามคำสั่งมอบอำนาจเมื่อวันที่ 9 ตุลาคม 2567
  • อยู่ระหว่างการแบ่งส่วนราชการใหม่
  • คาดว่าจะใช้เวลาดำเนินการ 1-12 เดือน ขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ


นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ยืนยันว่าการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้จะไม่ส่งผลกระทบต่ออัตรากำลังและงบประมาณ เป็นเพียงการโอนภารกิจเพื่อให้การบำบัดผู้ติดยาเสพติดเป็นไปในทิศทางเดียวกัน ซึ่งจะช่วยลดความซ้ำซ้อนในการทำงานและเพิ่มประสิทธิภาพในการดูแลผู้ป่วย


ก่อนหน้านี้ นายสมศักดิ์ ได้เสนอให้เปลี่ยนชื่อ “กรมสุขภาพจิต” เป็น “กรมสุขภาพจิตและยาเสพติด” เพื่อรองรับกองทุนสุขภาพจิตและยาเสพติดแห่งชาติ ที่จะจัดตั้งขึ้นภายหลังการแก้ไข พ.ร.บ.สุขภาพจิต พ.ศ. ... โดยกองทุนดังกล่าวจะนำเงินที่ได้จากการยึดทรัพย์มาใช้ในการบำบัดและจัดซื้อยารักษาให้ผู้ป่วยจิตเวชที่มีปัญหาจากยาเสพติด 


อย่างไรก็ตาม นพ.พงศ์เกษม ไข่มุกด์ อดีตอธิบดีที่เพิ่งเกษียณไปเมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ไม่เห็นด้วยกับการเปลี่ยนชื่อกรมฯ แต่ภายใต้การนำของ นพ.กิตติศักดิ์ อักษรวงศ์ อธิบดีคนปัจจุบัน กรมสุขภาพจิตจะยังมีความจำเป็นต้องเปลี่ยนชื่อหรือไม่ หลังจากมีการปรับโครงสร้างองค์กรแล้ว.

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

หมอมานพ แจงยิบ! เงื่อนไขใหม่ “มะเร็งรักษาทุกที่” ทำไมต้องมีใบส่งตัว

บัตรทอง ใช้งบผิดทาง ปลายปิดกับรพ.ใหญ่ ปลายเปิดกับร้านยา

“โรงพยาบาลท่าตูม” แนวรับด่านใหม่ – รองรับผู้ป่วยชายแดนกว่า 170 ราย หลัง รพ.แนวปะทะต้องปิดบริการ