ทะเลไทยพังแน่! “กฎหมายประมงใหม่” คืนชีวิตอาชีพประมงตัวจริง
สภาฯ เห็นชอบวาระ 3 ร่าง พ.ร.บ.ประมงใหม่ฯ สร้างชีวิตใหม่ให้ชาวประมง สมาคมรักษ์ทะเลไทย หวั่นเกิดวิกฤตปลาทูไทย ม 69 เปิดทางใช้อวนตาถี่เหมือนมุ้ง ลูกปลาลูกกุ้งหมดทะเลแน่!
คืนวานนี้ (25 ธ.ค. 2567) หลังการอภิปรายกว่า 10 ชั่วโมง ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรลงมติเห็นชอบร่าง พ.ร.บ.ประมงใหม่ฯ ในวาระ 3 ด้วยคะแนน 366 เสียง จาก 368 เสียง โดยไม่มีผู้ลงคะแนนคัดค้าน สภายังเห็นชอบข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการ และเตรียมส่งร่างกฎหมายไปยังวุฒิสภาเพื่อพิจารณาต่อไป
ปลอดประสพ สุรัสวดี ประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญ กล่าวว่ากฎหมายฉบับนี้จะช่วยฟื้นฟูชีวิตชาวประมง สนับสนุนวิถีชีวิต วัฒนธรรม และอาชีพ พร้อมทั้งสร้างความเป็นธรรมในการบังคับใช้กฎหมาย โดยไม่เน้นบทลงโทษรุนแรง แต่มุ่งคุ้มครองอาชีพประมงให้ยั่งยืนถึงชั่วลูกหลาน
พ.ร.บ.ประมงใหม่ กับปัญหาจากอดีต
พรรคเพื่อไทย ซึ่งเป็นผู้เสนอร่างกฎหมายฉบับนี้ อภิปรายถึงผลกระทบจากพระราชกำหนดการประมง พ.ศ. 2558 ที่ออกโดยรัฐบาล คสช. ซึ่งมีบทลงโทษรุนแรงและกฎเกณฑ์ที่เข้มงวดจนส่งผลเสียหายต่อเศรษฐกิจและอาชีพชาวประมง
ปลอดประสพ ชี้ว่า กฎหมายในสมัย คสช. ถูกกดดันจากต่างประเทศและบังคับใช้ด้วยความไม่เท่าเทียม มีการออกกฎหมายลูกกว่า 100 ฉบับ ส่งผลให้ชาวประมงจำนวนมากตกงาน เรือประมงถูกยึดหรือถูกทิ้งร้าง ประเทศไทยซึ่งเคยเป็นผู้ส่งออกสินค้าประมงรายใหญ่ สร้างรายได้กว่า 200,000 ล้านบาทต่อปี ต้องกลายเป็นผู้นำเข้าปลามาบริโภค ซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์
หลักการสำคัญของ พ.ร.บ.ประมงใหม่
ปลอดประสพ เน้นย้ำว่าการแก้ไขกฎหมายครั้งนี้ตั้งอยู่บนหลักการที่มุ่งสนับสนุนอาชีพ ไม่ใช่มองชาวประมงเป็นอาชญากร โดยมีแนวทางสำคัญดังนี้
- ปรับนิยาม “ทะเลชายฝั่ง” ให้สอดคล้องกับหลักวิชาการและความเป็นจริง
- เพิ่มโอกาสให้เรือประมงพื้นบ้านขนาดเล็ก ออกหาปลาได้กว้างขึ้น
- ปรับเงื่อนไขการใช้เครื่องมือจับสัตว์น้ำ ให้เหมาะสมตามบริบท
- อนุญาตให้จับสัตว์น้ำวัยอ่อนที่มีความจำเป็นต่อการบริโภคในประเทศ
- การใช้อวนจับปลาเล็กต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขเฉพาะทางวิชาการ
- เรือประมงสามารถรับฝากสัตว์น้ำได้อย่างเสรี
- การจอดเทียบท่าของเรือประมงต้องมีความยืดหยุ่น
- บทลงโทษต้องพิจารณาจากเจตนาและปรับลดหลั่นตามความเหมาะสม
- หากมีกฎระเบียบใหม่ที่กระทบต่อชาวประมง จะต้องมีมาตรการเยียวยาที่เหมาะสม
ฟื้นชีวิต 6 แสนครอบครัวประมงพื้นบ้าน
เทียบจุฑา ขาวขำ ส.ส.อุดรธานี กล่าวว่ากฎหมายฉบับใหม่นี้เปิดโอกาสให้ชาวประมงพื้นบ้านกว่า 600,000 ครอบครัว ใน 25 จังหวัด กลับมามีอาชีพที่มั่นคง โดยมีมาตรการส่งเสริมการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ การพัฒนาการจำหน่ายสินค้า และการคุ้มครองผลิตภัณฑ์ประมงพื้นบ้าน อีกทั้งยังช่วยให้การทำประมงถูกต้องตามกฎหมาย
ด้านมงคล สุขเจริญคณา ประธานสมาคมการประมงแห่งประเทศไทย กล่าวในนามตัวแทนชาวประมง 22 จังหวัดว่า “ขอขอบคุณนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี นายปลอดประสพ สุรัสวดี และทุกพรรคการเมือง ที่ได้เร่งแก้ไขกฎหมายฉบับนี้เพื่อให้ชาวประมงได้มีอาชีพที่ยั่งยืน ถือเป็นของขวัญปีใหม่ที่สำคัญที่สุดสำหรับพี่น้องชาวประมง”
สมาคมรักษ์ทะเลไทย ค้าน ม. 69 ทะเลไทยพังแน่
วิโชคศักดิ์ รณรงค์ไพรี นายกสมาคมรักษ์ทะเลไทย กล่าวถึง มาตรา 69 ของกฎหมายประมง ซึ่งกำลังเป็นที่ถกเถียงในขณะนี้ โดยเฉพาะในส่วนที่เปิดทางให้ เครื่องมืออุตสาหกรรมประมงชนิดใหม่ อย่าง “อวนล้อม 3 มิลลิเมตร” ที่มุ่งจับสัตว์น้ำวัยอ่อนและสัตว์ทะเลขนาดเล็กโดยตรง
การใช้เครื่องมือดังกล่าวถือเป็น โศกนาฏกรรมทางทะเล ที่อาจนำไปสู่การล่มสลายของปลาทูไทย จนปัจจุบันประเทศไทยต้องนำเข้าปลาทูถึง 90% ของการบริโภคในประเทศ คิดเป็นปริมาณ 3-4 แสนตันต่อปี หรือประมาณ 300-400 ล้านกิโลกรัม
เมื่อคำนวณมูลค่าตลาดของปลาทูที่ราคาเฉลี่ย 80-100 บาทต่อกิโลกรัม ความเสียหายทางเศรษฐกิจที่คนไทยต้องแบกรับตกอยู่ที่ 30,000-40,000 ล้านบาทต่อปี โดยเป็นเพียงความสูญเสียจากสัตว์น้ำเศรษฐกิจหลักชนิดเดียว จากทั้งหมดกว่า 700 ชนิด ในทะเลไทย
สัตว์น้ำเศรษฐกิจอื่นที่มีมูลค่าสูงกว่า เช่น ปลาอินทรี (200 บาท/กิโลกรัม), ปูม้า (300 บาท/กิโลกรัม), และ กุ้งแชบ๊วย (400 บาท/กิโลกรัม) ก็ล้วนตกอยู่ในกลุ่มเสี่ยงสูงที่จะถูกทำลายโดยเครื่องมือชนิดใหม่นี้
วิโชคศักดิ์ ประเมินว่า การบริหารจัดการทรัพยากรที่ขาดความรับผิดชอบเช่นนี้ อาจทำให้ประเทศไทยสูญเสียเม็ดเงินไม่ต่ำกว่า 100,000 ล้านบาทต่อปี ซ้ำแล้วซ้ำเล่า
การพิจารณาแก้ไขมาตรา 69
ในวันที่ 25 ธันวาคม 2567 สภาผู้แทนราษฎรจะพิจารณาแก้ไขมาตรา 69 ของพระราชกำหนดการประมง ซึ่งปัจจุบันระบุว่า
“ห้ามใช้อวนล้อมจับด้วยตาข่ายที่มีขนาด 2.5 เซนติเมตรในเวลากลางคืน”
แต่การแก้ไขครั้งนี้กลับเปิดทางให้ใช้อวนดังกล่าวได้ในเวลากลางคืน ตั้งแต่ระยะ 12 ไมล์ทะเลออกไป ซึ่งเป็นเส้นทางอพยพของฝูงปลาวัยอ่อนโดยตรง
ที่น่ากังวลคือ ในขั้นตอนของคณะกรรมาธิการวิสามัญ มีการอ้างว่าเครื่องมือชนิดนี้ถูก “เผด็จการ” บังคับให้เลิกใช้เมื่อปี 2558 ทั้งที่ความจริงคือ เครื่องมือนี้ถูกห้ามมาตั้งแต่ยุคเริ่มต้นอุตสาหกรรมประมงในประเทศไทยเมื่อกว่า 50 ปีที่แล้ว
ข้อมูลผลกระทบที่ชัดเจน คำถามถึงรัฐบาลและฝ่ายค้าน
แม้แต่ในปัจจุบัน การใช้อวนขนาด 3 มิลลิเมตร เช่น อวนช้อน อวนครอบ และอวนยก ก็สามารถจับสัตว์น้ำขนาดเล็กอย่าง ปลากะตัก (3-5 ซม.) ได้ในปริมาณมหาศาล ส่งผลให้ปลาทูและสัตว์น้ำเศรษฐกิจอื่นลดลงอย่างรวดเร็ว คนไทยต้องแบกรับต้นทุนที่เพิ่มขึ้นจากราคาสัตว์น้ำที่พุ่งสูง
เมื่อสภาผู้แทนฯ เตรียมเปิดทางให้เครื่องมือที่เป็นภัยต่อทรัพยากรทะเลไทย นายวิโชคศักดิ์ตั้งคำถามต่อทั้ง พรรคร่วมรัฐบาล อย่าง พรรคเพื่อไทย และ ฝ่ายค้าน อย่าง พรรคประชาชน ว่า
- ได้ตระหนักถึงผลกระทบต่อชาวประมงพื้นบ้านหรือไม่?
- ได้คำนึงถึงผลประโยชน์ของคนไทยทั้งประเทศหรือเพียงตอบสนองกลุ่มทุนที่สนับสนุนพรรค?
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น