น้ำสายท่วมซ้ำ-น้ำกกปนเปื้อน คนเชียงรายเผชิญ 'ภัยพิบัติซ้อน' เรียกร้องมาตรการข้ามพรมแดน
ประชาชนในพื้นที่ริมแม่น้ำสาย -น้ำกก กังวลใจจากประสบการณ์น้ำท่วมใหญ่ที่เกิดซ้ำทุกปี พร้อมกับพบสารปนเปื้อนในแหล่งน้ำอีก สะท้อน “ภัยพิบัติซ้อนภัยพิบัติ” ที่กระทบต่อชีวิต สุขภาพ และความมั่นคงในการอยู่อาศัย ย้ำรัฐต้องเร่งทำงานเชิงรุก แนะซักซ้อมรับมือภัยพิบัติอย่างเป็นระบบ
จากกรณีน้ำในแม่น้ำสายทะลักท่วมชุมชน-ร้านค้าตลาดสายลมจอยซ้ำ หลังเกิดฝนตกหนักที่ต้นแม่น้ำสาย จ.เชียงราย เมื่อช่วงเที่ยงของวันที่ 29 เม.ย. 2568 ที่ผ่านมา
ผศ.นิอร สิริมงคลเลิศกุล คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา เชียงราย ให้สัมภาษณ์เก็บตกจากวชิรวิทย์ว่า ภายหลังจากเกิดเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ในช่วงฤดูฝน ความรู้สึกของชาวบ้านต่อแม่น้ำเปลี่ยนจากความชื่นชมเป็นความหวาดระแวง ต้องติดตามสถานการณ์แม่น้ำสายและแม่น้ำกกอย่างใกล้ชิด เพราะระดับน้ำจากต้นน้ำในประเทศเพื่อนบ้านอาจไหลเข้าท่วมพื้นที่ได้ทุกเมื่อ
นอกจากความเสียหายจากน้ำท่วมแล้ว ชาวบ้านยังเริ่มกังวลกับข้อมูลเรื่อง “สารปนเปื้อนในแม่น้ำกก” ซึ่งเป็นแหล่งผลิตน้ำประปาของจังหวัดเชียงราย โดยไม่อาจยืนยันได้ว่าสารเหล่านี้มาจากแหล่งใด แต่มีความเป็นไปได้ว่าอาจเกี่ยวข้องกับกิจกรรมเหมืองแร่ในรัฐฉาน ประเทศเมียนมา
“เราขาดข้อมูลวิทยาศาสตร์ ขาดการตรวจวัดจากต้นน้ำก่อนเข้าประเทศ ถ้าเรามีจุดมอนิเตอร์คุณภาพน้ำร่วมกันตั้งแต่เขตชายแดนลงมา มันจะสร้างความมั่นใจได้มากกว่านี้”
ผศ.นิอร เสนอให้ภาครัฐร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะเมียนมา ในการจัดตั้งระบบเฝ้าระวังภัยพิบัติข้ามพรมแดน ทั้งในมิติน้ำท่วม คุณภาพน้ำ และคุณภาพอากาศ พร้อมเปิดเผยข้อมูลต่อสาธารณะอย่างโปร่งใส
“ถ้าเรารอให้มีผู้ป่วยหรือลูกหลานเกิดมาพิการเหมือนกรณี ‘มินามาตะ’ ในญี่ปุ่น มันจะสายเกินไป ทั้งที่วันนี้เราสามารถตรวจสุขภาพ ตรวจสารปนเปื้อนในมนุษย์ได้แล้ว แต่เรายังไม่เริ่มอะไรเลยอย่างเป็นรูปธรรม”
เธอเปรียบเทียบสถานการณ์ที่เชียงรายเป็น “พื้นที่พิเศษภัยพิบัติซ้ำซ้อน” เพราะเผชิญทั้งน้ำท่วม หมอกควัน และน้ำปนเปื้อน ขณะเดียวกันประชาชนต้องปรับตัวด้วยตนเอง ทั้งการลงทุนซื้อเครื่องกรองน้ำ เครื่องฟอกอากาศ และตรวจสุขภาพซ้ำๆ ซึ่งเป็นต้นทุนที่รัฐควรพิจารณาเพราะจะกลายเป็นภาระทางเศรษฐกิจในระยะยาว
“เราไม่ได้เรียกร้องอะไรเกินเลย แค่อยากให้รัฐหรือผู้มีอำนาจเห็นว่า ทุกข์ของประชาชนคือทุกข์ของรัฐบาล และต้องเริ่มลงมือก่อนที่จะสายเกินไป”
ขณะที่ เพียรพร ดีเทศน์ ผู้อำนวยการฝ่ายรณรงค์ องค์กร International Rivers เรียกร้องให้รัฐบาลไทยดำเนินการอย่างเร่งด่วน เพื่อเตรียมรับมือกับอุทกภัยที่อาจเกิดขึ้นในแม่น้ำกกและแม่น้ำสายในช่วงฤดูมรสุม โดยเสนอให้มีการ “เปิดเผยและซักซ้อมมาตรการรับมือภัยพิบัติอย่างเป็นระบบ มีส่วนร่วม และมีประสิทธิภาพ” หลังพบว่าที่ผ่านมาประชาชนยังต้องพึ่งพาข้อมูลจากไลฟ์สดขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เนื่องจากขาดประกาศและแผนการอพยพจากภาครัฐอย่างเป็นทางการ
“ดิฉันอยากให้รัฐบาลดำเนินการทันที เพราะเหลือเวลาอีกไม่นาน—แค่เดือนหรือสองเดือน—มรสุมก็จะเข้ามาแล้ว แต่เรายังไม่มีมาตรการรับมือเลย” เพียรพรกล่าว พร้อมชี้ว่าเหตุการณ์น้ำหลากจากท่าตอนสู่เชียงรายเมื่อปลายปีที่ผ่านมา เป็นสัญญาณเตือนถึงความเสี่ยงที่ยังไม่ได้รับการจัดการอย่างจริงจัง
นอกจากนี้ เพียรพรยังเสนอให้ตั้ง “ศูนย์ปฏิบัติการกลาง” ที่มีประสิทธิภาพและทรัพยากรเพียงพอจากส่วนกลาง เพื่อสนับสนุนการทำงานในพื้นที่ ซึ่งมักขาดงบประมาณและบุคลากร พร้อมเน้นย้ำถึงความจำเป็นของระบบตรวจสอบแบบ “โปร่งใสและตรวจซ้ำได้” โดยมีหน่วยงานอิสระเข้ามาตรวจสอบควบคู่กับหน่วยงานรัฐ และเปิดเผยผลแบบเรียลไทม์ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นแก่ประชาชน
“เราควรมีระบบแจ้งเตือนและคำแนะนำที่ชัดเจน เช่น เมื่อห้ามสัมผัสน้ำโดยตรงเพราะเสี่ยงต่อสุขภาพ คำถามคือ แล้วพื้นที่เพาะปลูก 50,000 ไร่ที่ยังใช้น้ำจากแม่น้ำกกอยู่ จะทำอย่างไร?” เธอตั้งคำถามเชิงนโยบาย
ข้อเสนอเหล่านี้ถูกรวมไว้ในเอกสารข้อเสนอจากภาคประชาชนที่ยื่นต่อนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 17 เมษายนที่ผ่านมา โดยเน้นถึงความสำคัญของการเตรียมความพร้อมรับมือภัยพิบัติในลำน้ำข้ามพรมแดน ที่ไม่สามารถจัดการได้ด้วยมาตรการเฉพาะหน้าอีกต่อไป
#นักข่าวสาธารณสุข #เก็บตกจากวชิรวิทย์
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น