แนะประกาศ "พื้นที่คุ้มครองสิ่งแวดล้อม" จัดการวิกฤตน้ำกก-น้ำสาย
ชี้ช่องกฎหมาย ช่วยรัฐสามารถออกข้อกำหนดห้ามใช้น้ำบริเวณปนเปื้อน ย้ายประชาชนออกจากจุดเสี่ยง และใช้งบประมาณป้องกันความเสียหาย พร้อมเห็นด้วยสร้างฝายดักตะกอน ขณะที่ยังต้องเจรจากับเมียนมาผ่านเวทีอาเซียนเพื่อแก้ปัญหาที่ต้นตอควบคู่กัน
วันที่ 26 พ.ค. 2568 ดร.สนธิ คชวัฒน์ นักวิชาการอิสระด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ ให้สัมภาษณ์ #เก็บตกจากวชิรวิทย์ ถึงแนวทางทางกฎหมายในการรับมือปัญหามลพิษสารหนูและตะกั่วในแม่น้ำสายและแม่น้ำกก ที่เชื่อมโยงกับการทำเหมืองทองคำในฝั่งรัฐฉาน ประเทศเมียนมา โดยบอกว่าการประกาศเขตควบคุมมลพิษตามกฎหมายไทยไม่สามารถใช้ได้ในกรณีนี้ เพราะแหล่งกำเนิดมลพิษอยู่ต่างประเทศ
“ถ้าใช้ พ.ร.บ.ส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม พ.ศ.2535 ประกาศเขตควบคุมมลพิษไม่ได้แน่นอน เพราะตามหลักต้องควบคุมที่แหล่งกำเนิด ซึ่งในกรณีนี้อยู่ต่างประเทศ เราไม่มีอำนาจจัดการโดยตรง” ดร.สนธิ อธิบาย
ใช้มาตรการ “พื้นที่คุ้มครองสิ่งแวดล้อม” แทนได้ แต่ต้องมีแผนชัดเจน
ดร.สนธิชี้ว่า เครื่องมือทางกฎหมายที่ไทยสามารถใช้ได้จริงในฝั่งของตัวเอง คือ การประกาศพื้นที่คุ้มครองสิ่งแวดล้อม ตามพ.ร.บ.สิ่งแวดล้อมฯ ซึ่งไม่ใช่การควบคุมแหล่งกำเนิด แต่เป็นการป้องกันผลกระทบในพื้นที่ที่ได้รับผลจากมลพิษ
“ถ้าจะให้รัฐไทยทำอะไรได้ในพื้นที่เราเอง ต้องใช้มาตรการประกาศ ‘พื้นที่คุ้มครองสิ่งแวดล้อม’ เพราะการประกาศเขตควบคุมมลพิษทำไม่ได้ เนื่องจากแหล่งกำเนิดมลพิษอยู่ในเมียนมา” ดร.สนธิระบุ
พื้นที่คุ้มครองสิ่งแวดล้อม – เครื่องมือชั่วคราวที่ทำได้ทันที
ดร.สนธิอธิบายว่า การประกาศพื้นที่คุ้มครองสิ่งแวดล้อมเป็นการยกระดับพื้นที่ที่ประสบปัญหามลพิษให้เป็นพื้นที่พิเศษที่สามารถออกข้อกำหนดควบคุมการใช้ประโยชน์ที่ดิน หรือการดำเนินกิจกรรมที่อาจเพิ่มความเสี่ยงได้ เช่น การห้ามใช้น้ำบริเวณที่ปนเปื้อน การย้ายประชาชนออกจากจุดเสี่ยง หรือแม้แต่การจัดการน้ำไม่ให้ไหลผ่านพื้นที่เกษตร
“อย่างที่ภูเก็ต เราห้ามสร้างบ้านบนเขาเกิน 35% ของพื้นที่ เพราะประกาศเป็นพื้นที่คุ้มครอง เช่นกัน ถ้ารัฐประกาศพื้นที่คุ้มครองในตลาดสายลมจอยหรือแม่สาย เราจะสามารถขอให้คนอย่าเพิ่งใช้น้ำ หรือขอความร่วมมือให้ย้ายออกได้ แล้วใช้งบประมาณจากรัฐป้องกันความเสียหาย” เขาเสนอ
แม้มาตรการดังกล่าวไม่สามารถจัดการที่ต้นตอของปัญหาได้โดยตรง แต่ดร.สนธิเห็นว่า นี่คือสิ่งที่รัฐสามารถทำได้ทันที เพื่อชะลอความเสียหายที่เกิดกับประชาชนในฝั่งไทย
การเจรจาข้ามแดน – ต้องเกิดขึ้นควบคู่
ขณะเดียวกัน เขาย้ำว่าการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืนต้องมุ่งไปที่การเจรจากับเมียนมา โดยเฉพาะในบริบทของ “มลพิษข้ามพรมแดน” ซึ่งมีเครื่องมือในระดับภูมิภาคอย่าง “กฎหมายมลพิษข้ามแดนของอาเซียน” รองรับอยู่แล้ว
“อย่างกรณีฝุ่น PM2.5 เราใช้เวทีอาเซียนให้เลขาธิการแจ้งให้ประเทศต้นทางหยุดการเผา แบบเดียวกันนี้ รัฐบาลไทยสามารถขอให้เมียนมาหยุดปล่อยน้ำเสีย และบรรจุเรื่องนี้เป็นวาระเร่งด่วนของอาเซียนได้”
แม้การเจรจาจะไม่ง่าย เพราะกิจกรรมเหมืองที่เป็นต้นตอของมลพิษในเมียนมานั้นหลายแห่งเป็น “เหมืองเถื่อน” และเกี่ยวข้องกับกลุ่มอิทธิพลท้องถิ่น เช่น กลุ่มว้า ดร.สนธิยังเห็นว่าเวทีอาเซียนคือโอกาสที่ไทยต้องใช้ให้เต็มที่
“พม่าก็เป็นเจ้าของประเทศ ถึงจะเป็นพื้นที่กลุ่มว้าก็ต้องรับผิดชอบ เราต้องเจรจา กดดัน หรือแม้แต่ใช้ประเทศมหาอำนาจอย่างจีนกดดันต่ออีกชั้น”
เห็นด้วยกับการสร้างฝายดักตะกอน – ป้องกันน้ำปนเปื้อนเข้าพื้นที่เกษตร
นอกจากแนวทางเชิงนโยบายและกฎหมาย ดร.สนธิยังเสนอแนวทางทางวิศวกรรมสิ่งแวดล้อมในพื้นที่ เช่น การสร้างฝายดักตะกอนสารพิษแบบชั่วคราว โดยอ้างอิงจากกรณีฝายที่ห้วยคิตตี้ จ.กาญจนบุรี ซึ่งเคยใช้จัดการกับสารตะกั่วจากเหมืองคลิตี้ได้ผลในระดับหนึ่ง
“ตะกอนที่ไหลมาจากฝั่งโน้นมีสารหนูกับตะกั่วสูงมาก ถ้าเราทำฝายกรองตะกอนแบบง่ายๆ ใส่อิฐ ทราย ผงถ่าน ขี้เถ้า เรียงกันเป็นชั้นไว้ในตะกร้าลวดน้ำที่ไหลผ่านก็จะลดโลหะหนักลงได้ถึง 80%”
เขาชี้ว่า ถึงแม้ระบบกรองจะไม่สามารถจัดการกับโลหะหนักที่อยู่ในรูปสารละลายได้ทั้งหมด แต่สามารถลดปริมาณโดยรวมและความเข้มข้นลงได้อย่างมาก และเมื่อต้นทางหยุดปล่อยมลพิษแล้ว ก็สามารถรื้อฝายออกได้ภายหลัง
ต่อเสียงวิจารณ์ว่ากรณีฝายที่ห้วยคิตตี้ไม่ประสบความสำเร็จ ดร.สนธิโต้ว่าเป็นความเข้าใจผิด เพราะในความเป็นจริงสามารถกรองตะกอนมลพิษได้ถึง 80% แม้จะไม่สมบูรณ์แบบแต่ถือว่าช่วยลดความเสียหายได้มาก
ทางเลือกการฟ้องร้อง – ทำได้แต่ยังไม่รู้ตัวผู้กระทำ
ผู้สื่อข่าวสอบถามถึงความเป็นไปได้ในการฟ้องร้องเอกชนผู้ก่อมลพิษในต่างประเทศตามแนวทางที่ไทยเคยใช้ในกรณีน้ำมันรั่ว ดร.สนธิชี้ว่า “เป็นไปได้ในหลักการ” แต่ติดที่ข้อเท็จจริงว่า ยังไม่มีข้อมูลชัดเจนว่าใครเป็นผู้ดำเนินการเหมือง เพราะหลายแห่งเป็นกิจการเถื่อน
“จากข้อมูลที่ได้ มีเหมืองถูกต้องตามกฎหมายเพียง 25 แห่ง อีกกว่า 60 แห่งเป็นเหมืองเถื่อนทั้งหมด เราไม่รู้เลยว่าใครอยู่เบื้องหลัง จึงฟ้องเอกชนไม่ได้ ถ้าจะฟ้องก็ต้องฟ้องพม่า ซึ่งต้องผ่านเวทีอาเซียนเท่านั้น”
เขาอธิบายว่าเหมืองในฝั่งเมียนมาส่วนใหญ่ใช้วิธี “ชะแร่” ด้วยการฉีดสารเคมีเข้าสู่หิน แล้วแช่ด้วยเคมีเพื่อสกัดแร่ ซึ่งเป็นกระบวนการที่ทำลายสิ่งแวดล้อมรุนแรง และไม่สามารถควบคุมได้หากอยู่นอกขอบเขตของรัฐไทย
ข้อเสนอเร่งด่วนก่อนประชุมที่ทำเนียบฯ
ก่อนการประชุมอนุกรรมการแก้ไขปัญหาน้ำปนเปื้อนที่จะมีขึ้นในวันที่ 27 พฤษภาคมนี้ ณ ทำเนียบรัฐบาล ดร.สนธิแสดงความคาดหวังว่า รัฐบาลควรเร่งดำเนินการมาตรการป้องกันในพื้นที่ฝั่งไทยก่อน เช่น การออกแบบ “ฝายชะลอน้ำ” และเริ่มกระบวนการประกาศพื้นที่คุ้มครองสิ่งแวดล้อมในเขตที่ได้รับผลกระทบ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น