จิตแพทย์เด็กเตือน “เด็กในศูนย์พักพิง” อาจดูร่าเริงแต่ซ่อนความเครียด – แนะจับตาพฤติกรรม-จัดกิจกรรมเยียวยาใจ

ทีม MCATT เร่งเยียวยาใจ จัดกิจกรรมสันทนาการ-ฟื้นกิจวัตรให้ใกล้เคียงปกติ แนะผู้ใหญ่ต้องเป็นต้นแบบอารมณ์ พร้อมรับฟังเด็กโดยไม่ตัดสิน ระวังกลุ่มเสี่ยง “วัยรุ่นแยกตัว–เด็กเล็กก้าวร้าว” อาจบ่งชี้ภาวะทางใจ




วันนี้ (29 ก.ค. 25468) ท่ามกลางบรรยากาศในศูนย์พักพิงชั่วคราวที่จัดตั้งขึ้นหลังเหตุปะทะตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ภาพของเด็กๆ ที่ดูร่าเริง เล่นสนุกกับเพื่อนอาจทำให้หลายคนเบาใจว่า “เด็กไม่น่าจะได้รับผลกระทบมากนัก” แต่ในความเป็นจริง อาจไม่เป็นเช่นนั้น


พญ.ศิรัชชรินทร์ มุ่งอ้อมกลาง จิตแพทย์เด็กและวัยรุ่น โรงพยาบาลสุรินทร์ หนึ่งในทีม MCATT (Mental Health Crisis Assessment and Treatment Team) เปิดเผยกับ #เก็บตกจากวชิรวิทย์  ว่า เด็กๆ ที่อยู่ในศูนย์พักพิงมีความเสี่ยงด้านสุขภาพจิตไม่ต่างจากผู้ใหญ่ โดยเฉพาะในช่วงสัปดาห์แรกหลังอพยพ ซึ่งถือเป็นช่วง “เปราะบาง” ที่อารมณ์ความรู้สึกยังไม่มั่นคง



 ◤ ​​“เด็กบางคนดูร่าเริง แต่จริงๆ อาจกำลังเก็บอารมณ์”


พญ.ศิรัชชรินทร์ อธิบายว่า เด็กวัยเล็ก โดยเฉพาะอายุต่ำกว่า 6 ปี มักไม่สามารถสื่อสารอารมณ์ได้ชัดเจน ผู้ใหญ่อาจมองว่าเด็กดูร่าเริง แต่ในความเป็นจริง เด็กอาจยังไม่เข้าใจความรู้สึกของตน หรือยังไม่สามารถแสดงออกทางวาจาได้


“ช่วงสัปดาห์แรก เราอาจเห็นพฤติกรรมที่หลากหลาย บางคนดูนิ่งเฉย บางคนอาจหวาดกลัว กังวล หรือนอนไม่หลับ…เด็กแต่ละคนตอบสนองต่างกัน” พญ.ศิรัชชรินทร์ กล่าว 



 ◤ ​​หลักการดูแลเด็กในภาวะวิกฤต ปลอดภัย – ฟัง – ไม่ตัดสิน – กิจวัตรต้องปกติ


เพื่อป้องกันผลกระทบทางจิตใจในระยะยาว ทีมจิตแพทย์แนะนำหลักดูแลเบื้องต้น 4 ข้อ ได้แก่

1. ความปลอดภัย – ต้องมั่นใจว่าเด็กอยู่ในที่ปลอดภัย และผู้ปกครองสามารถดูแลได้

2. แบบอย่างทางอารมณ์จากผู้ใหญ่ – หากผู้ใหญ่ควบคุมอารมณ์ได้ดี เด็กก็จะรับอารมณ์เชิงบวกนั้นไปด้วย

3. การรับฟังอย่างไม่ตัดสิน – เด็กควรได้รับโอกาสพูดถึงความรู้สึก โดยไม่ถูกซักถามหรือวิจารณ์

4. รักษากิจวัตรประจำวันให้คงเดิมที่สุด – เช่น การตื่นนอน อาบน้ำ กินอาหารให้เป็นเวลา และมีกิจกรรมที่คุ้นเคย เช่น วาดภาพ ร้องเพลง หรือเล่นเกมอย่างสร้างสรรค์



 ◤ ​​พัฒนาการแต่ละวัย มีความเปราะบางต่างกัน


พญ.ศิรัชชรินทร์ แบ่งความเปราะบางทางจิตใจของเด็กตามช่วงวัยดังนี้:

เด็กปฐมวัย (ต่ำกว่า 6 ปี): แสดงอารมณ์ไม่ชัดเจน สังเกตจากพฤติกรรม เช่น ซึม เงียบ ก้าวร้าว หรือขี้ตกใจง่าย

เด็กวัยประถม (6–12 ปี): เริ่มสื่อสารได้ดีขึ้น อาจพูดถึงความกังวลโดยตรง เช่น “นอนไม่หลับ” หรือ “คิดถึงบ้าน”

วัยรุ่น (13–18 ปี): บางคนอาจเริ่มแยกตัว เงียบ ไม่เข้าสังคม ซึ่งอาจเป็นสัญญาณเริ่มต้นของภาวะซึมเศร้า ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด


อย่างไรก็ตาม คุณหมอเน้นว่าอาการเหล่านี้จะต้องได้รับการคัดกรองอีกครั้งหลังจากอยู่ในศูนย์พักพิงไปแล้ว 2 สัปดาห์ขึ้นไป เพราะช่วงแรกยังถือว่าเป็นระยะ “ปรับตัว”



แม้จะอยู่นอกโรงเรียน แต่ทีม MCATT และหน่วยงานภาคีต่างๆ พยายามจัดกิจกรรมเสริมพัฒนาการให้เด็กได้เรียนรู้เท่าที่เป็นไปได้


“เราพยายามจัดกิจกรรมที่ไม่ให้เด็กเคว้ง พยายามทำให้เหมือนอยู่บ้าน เพื่อให้เกิดความต่อเนื่องทางอารมณ์และพัฒนาการ” พญ.ศิรัชชรินทร์ กล่าว 


กิจกรรมเหล่านี้ รวมถึงการระบายสี วาดภาพ ร้องเพลง หรือเล่นเกมที่ช่วยฝึกการเข้าสังคม ถูกออกแบบให้เด็กมีความสุข สื่อสารได้ และฟื้นความรู้สึก “ควบคุมชีวิตตัวเองได้อีกครั้ง”



 ◤ ​​ทำไมต้องใส่ใจ “กลุ่มเด็ก” เป็นพิเศษ


แม้ทุกกลุ่มประชากรจะสำคัญ แต่เด็กถือเป็นกลุ่มที่ต้องเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด เพราะผลกระทบทางจิตใจในวัยเด็กสามารถส่งผลยาวนานไปถึงวัยผู้ใหญ่


“ถ้าเราไม่ดูแลตั้งแต่วันนี้ เด็กบางคนอาจจะมีภาวะเครียดหรือซึมเศร้าหลังเหตุการณ์สงบ…การเริ่มตั้งแต่ต้นคือการป้องกันในระยะยาว” พญ.ศิรัชชรินทร์ กล่าว


จิตแพทย์เด็กยังบอกถึงสิ่งที่ “ไม่ควรทำ” กับเด็กหลังผ่านเหตุวิกฤต โดยหลีกเลี่ยงการถามเรื่องเหตุการณ์ซ้ำๆ เพราะจะย้ำภาพความเจ็บปวด อย่าคาดหวังให้เด็ก “เข้มแข็ง” หรือ “ต้องเข้าใจสถานการณ์” หลีกเลี่ยงคำพูดเปรียบเทียบ เช่น “เพื่อนหนูยังไม่ร้องเลย” หรือ “แค่นี้เองไม่ต้องกลัว”



พญ.ศิรัชชรินทร์ ยอมรับว่า บางเด็กอาจพูดว่า “สนุกดี” หรือ “เล่นกับเพื่อนได้” ซึ่งถือเป็นสัญญาณเชิงบวก แต่ในขณะเดียวกัน เด็กหลายคนยังมีปัญหาเรื่องการนอนหลับ หรือรู้สึกไม่สบายใจที่ต้องอยู่ในสถานที่ใหม่ เช่น ศูนย์พักพิงที่ไม่เหมือนบ้าน


“ความรู้สึกของเด็กซับซ้อน บางคนเก็บไว้ บางคนพูดออกมา บางคนอาจไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองเครียด…ผู้ใหญ่จึงต้องดูแลอย่างเข้าใจและไม่เร่งเร้า” จิตแพทย์เด็ก รพ.สุรินทร์ กล่าว 

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

หมอมานพ แจงยิบ! เงื่อนไขใหม่ “มะเร็งรักษาทุกที่” ทำไมต้องมีใบส่งตัว

บัตรทอง ใช้งบผิดทาง ปลายปิดกับรพ.ใหญ่ ปลายเปิดกับร้านยา

“โรงพยาบาลท่าตูม” แนวรับด่านใหม่ – รองรับผู้ป่วยชายแดนกว่า 170 ราย หลัง รพ.แนวปะทะต้องปิดบริการ