แค่ รพ. เดียว ออกใบตรวจสุขภาพแรงงานเถื่อน 12,000 ราย เสี่ยงโรคข้ามแดน ช่องโหว่ใหญ่ระบบกำกับ รพ.เอกชน
การขยายตัวของแรงงานต่างด้าวกว่า 4 ล้านคนในประเทศไทย คือความจริงที่ไม่อาจปฏิเสธได้ และเป็นกลไกสำคัญในการรักษาความสามารถการแข่งขันทางเศรษฐกิจ แต่ในอีกด้านหนึ่ง การจัดการด้านสุขภาพแรงงานต่างด้าวกลับยังมีช่องโหว่สำคัญที่สะท้อนผ่านกรณีโรงพยาบาลเอกชนย่านรังสิต เปิดบริการตรวจสุขภาพแรงงานโดยไม่ได้รับอนุญาตและออกเอกสารไปกว่า 12,000 รายในรอบสิบเดือน ปัญหานี้ไม่ใช่เพียงการทำผิดกฎหมายสถานพยาบาล หากแต่ชี้ถึงความไม่เชื่อมโยงของฐานข้อมูลรัฐ กฎหมายที่ล่าช้าต่อความเป็นจริง และการกำกับดูแลที่ไม่เข้มแข็งพอ
การตรวจสุขภาพแรงงานต่างด้าวไม่ควรถูกมองว่าเป็นขั้นตอนทางธุรการ แต่คือ “นโยบายด้านความมั่นคงทางสุขภาพ” ที่ต้องการกลไกใหม่ในการบังคับใช้กฎหมาย การประสานงานระหว่างหน่วยงาน และการสร้างสมดุลระหว่างความต้องการแรงงานกับการปกป้องสังคมไทยจากโรคติดต่ออันตราย
หลังจากที่นายชัยชนะ เดชเดโช รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข นำทีมลงพื้นที่ตรวจสอบโรงพยาบาลเอกชนย่านรังสิต จังหวัดปทุมธานี เมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2568 เนื่องจากได้รับเบาะแสว่ามีการเปิดให้บริการตรวจสุขภาพแรงงานต่างด้าวโดยไม่ได้รับอนุญาต จนพบว่ามีการออกเอกสารตรวจสุขภาพไปมากกว่า 12,000 รายในรอบ 10 เดือน กำลังกลายเป็นภาพสะท้อนเชิงโครงสร้างที่ใหญ่กว่าการทำผิดกฎหมายเพียงกรณีเดียว
◤ โรงพยาบาลเอกชนตรวจแรงงานโดยไม่รออนุญาต
ข้อมูลจากการตรวจสอบระบุว่า โรงพยาบาลเอกชนแห่งนี้แม้จะขึ้นทะเบียนกับกรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงานแล้ว แต่ยังไม่ได้รับอนุญาตจากสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดปทุมธานีให้เปิดบริการตรวจสุขภาพแรงงานต่างด้าว ทว่ากลับดำเนินการไปก่อน โดยอ้างเหตุผลความพร้อมทางระบบและความต้องการของแรงงานจำนวนมาก
การกระทำเช่นนี้ถือว่าผิดตาม พระราชบัญญัติสถานพยาบาล พ.ศ. 2541 ซึ่งกำหนดโทษชัดเจนว่าอาจถูกจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ขณะเดียวกันยังมีคำสั่งให้ระงับการให้บริการทันทีจนกว่าจะได้รับอนุญาตอย่างเป็นทางการ
◤ ช่องว่างระหว่าง “แรงงานเพิ่มขึ้น” กับ “กฎหมายไม่ทัน”
ปัจจุบัน ประเทศไทยมีแรงงานต่างด้าวที่ได้รับอนุญาตทำงานมากกว่า 4 ล้านคน และยังคงมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง การเติบโตนี้ช่วยขับเคลื่อนตลาดแรงงาน แต่ในอีกด้านก็เพิ่มภาระด้านสาธารณสุขอย่างมหาศาล
จุดสำคัญคือ กฎหมายและระบบการขึ้นทะเบียนสถานพยาบาล ยังไม่สามารถตามทันความเป็นจริงได้ทั้งหมด ตัวเลขที่นายชัยชนะเปิดเผยชี้ชัดว่า ขณะนี้มีสถานพยาบาลที่ขึ้นทะเบียนตรวจสุขภาพแรงงานกับกรมการจัดหางาน 75 แห่ง แต่กลับขึ้นทะเบียนกับกระทรวงสาธารณสุขเพียง 41 แห่ง นั่นหมายความว่ามี “ช่องโหว่” ที่แรงงานนับแสนคนอาจได้รับเอกสารตรวจสุขภาพจากสถานพยาบาลที่ไม่ได้ผ่านเกณฑ์มาตรฐาน
หากประเมินจากข้อมูลการตรวจเพียงแห่งเดียวที่ออกเอกสารไปกว่า 12,000 รายในเวลาไม่ถึงปี ก็เป็นไปได้ว่ายอดรวมจากสถานพยาบาลที่ไม่ได้ขึ้นทะเบียนกับ สธ. อาจสูงถึง 300,000 ราย ซึ่งสะท้อนปัญหาการ “ตรวจสุขภาพเถื่อน” ที่ใหญ่กว่าที่หลายฝ่ายคิด
◤ สุขภาพแรงงานไม่ใช่เรื่องส่วนตัว
การตรวจสุขภาพแรงงานต่างด้าวไม่ใช่เพียงขั้นตอนด้านเอกสารเพื่อให้ได้ใบอนุญาตทำงาน แต่คือ เครื่องมือสำคัญในการคัดกรองโรคติดต่ออันตราย เช่น วัณโรคระยะแพร่เชื้อ ซิฟิลิสเรื้อรัง และโรคอื่นๆ ที่กฎหมายกำหนดว่าเป็น “โรคต้องห้ามในการทำงาน”
หากเอกสารการตรวจออกมาโดยไม่มีการตรวจจริง หรือไม่ได้มาตรฐาน ก็เท่ากับว่าแรงงานจำนวนมากอาจเข้าสู่ตลาดแรงงานไทยโดย ไม่ผ่านการคัดกรองโรคที่อาจกระทบต่อสาธารณสุขโดยตรง ขณะที่ประเทศไทยกำลังเผชิญความเสี่ยงด้านโรคอุบัติใหม่และการเคลื่อนย้ายแรงงานข้ามแดนอย่างต่อเนื่อง
กรณีนี้จึงไม่ใช่เพียงการละเมิดกฎหมาย แต่คือการ “เปิดช่องให้โรคข้ามพรมแดนเข้ามาโดยไร้การควบคุม”
กฎระเบียบเข้มแต่บังคับใช้หลวม?
ข้อกำหนดของกระทรวงสาธารณสุขชัดเจนว่า หากสถานพยาบาลต้องการให้บริการตรวจสุขภาพแรงงานต่างด้าว ต้องยื่นคำขอ (แบบ ส.พ.16) และผ่านมาตรฐานหลายด้าน เช่น ห้องปฏิบัติการที่ได้รับรอง ห้องเอกซเรย์ เครื่องกำเนิดรังสี การจัดทำเวชระเบียน และระบบพิสูจน์อัตลักษณ์เพื่อตรวจสอบแรงงาน
คำถามคือ เหตุใดโรงพยาบาลจำนวนมากจึงเลือกเปิดบริการโดยไม่รอการอนุญาต ทั้งที่รู้ว่าเสี่ยงต่อโทษตามกฎหมาย? คำตอบหนึ่งอาจอยู่ที่ “แรงจูงใจทางเศรษฐกิจ” เนื่องจากตลาดแรงงานต่างด้าวมีความต้องการตรวจสุขภาพสูงและต่อเนื่อง ขณะที่โทษปรับเพียง 20,000 บาทนั้นอาจไม่เพียงพอในการยับยั้งการกระทำผิด
นี่อาจเป็นจุดอ่อนของระบบกำกับดูแล ที่แม้จะมี กฎระเบียบเข้ม แต่กลับ บังคับใช้หลวมและโทษเบาเกินไป เมื่อเทียบกับผลประโยชน์ที่สถานพยาบาลได้รับ
◤ จะปิดช่องโหว่อย่างไร?
บทเรียนจากกรณีนี้สะท้อนว่า การแก้ไขปัญหาไม่สามารถทำได้เพียงการ “ตรวจจับ-ปรับเงิน” แต่ต้องมองทั้งระบบ
1. เพิ่มความเข้มงวดด้านโทษและบทลงโทษซ้ำซ้อน
• การปรับไม่เกิน 20,000 บาทอาจไม่สะท้อนความเสียหายเชิงระบบ จำเป็นต้องพิจารณาโทษที่สูงขึ้น หรือมาตรการระงับการประกอบธุรกิจชั่วคราว
2. เชื่อมฐานข้อมูลระหว่างกระทรวงแรงงาน–กระทรวงสาธารณสุข
• กรณีที่พบสถานพยาบาลขึ้นทะเบียนกับกรมการจัดหางาน แต่ไม่ขึ้นกับ สธ. ชี้ว่าฐานข้อมูลยังแยกส่วน
3. สร้างระบบตรวจสอบย้อนกลับของใบรับรองสุขภาพ
• หากเอกสารตรวจสุขภาพทุกฉบับสามารถตรวจสอบได้ว่าออกจากสถานพยาบาลที่ผ่านมาตรฐานจริง จะช่วยลดปัญหาเอกสารปลอมและบริการเถื่อน
4. ปรับสมดุล “ความต้องการแรงงาน” กับ “ความมั่นคงทางสุขภาพ”
• การเร่งรัดให้แรงงานเข้าสู่ระบบทำงานทันทีอาจทำให้มองข้ามขั้นตอนคัดกรองโรค จำเป็นต้องสร้างกลไกที่รวดเร็วแต่ยังคงมาตรฐาน
#เก็บตกจากวชิรวิทย์ #นักข่าวสาธารณสุข
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น