รพ.รัฐ เดินหน้า ค้านนำผลสุ่มตรวจเวชระเบียนไปขยายผล 33 เท่า ขณะที่ สปสช.โยนให้แต่ละเขตตัดสินใจ

ย้ำ ยินดีให้ตรวจ 100% แล้วตัดงบเฉพาะรายการที่ผิด แต่ไม่เห็นด้วยกับการนำผลสุ่มตรวจ 3% ไปขยายเป็น 100% ชี้ควรมีองค์กรกลางอิสระตรวจแทน



จากกรณีผู้บริหารโรงพยาบาลรัฐ ในเขตสุขภาพที่ 5, 7 และ 11 ได้ร่วมออกจดหมายเปิดผนึก คัดค้านแนวทางสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ที่ใช้ผลสุ่มตรวจเวชระเบียนเพียงบางส่วนแล้วขยายผลหักเงินชดเชยค่าบริการผู้ป่วยในทั้งปี เมื่อช่วงต้นเดือน ส.ค. 2568 ที่ผ่านมา 


วันนี้ (15 ส.ค. 2568) นพ.อนุกูล อนุกูล ไทยถานันดร์ ผอ.โรงพยาบาลราชบุรี อดีตประธานชมรมโรงพยาบาลศูนย์/โรงพยาบาลทั่วไป เปิดเผยกับ  #เก็บตกจากวชิรวิทย์  ว่าเรื่องดังกล่าวมีการหารือกับเลขาธิการ สปสช. และทีมตรวจสอบ (Auditor) รวมถึง นพ.สมฤกษ์ จึงสมาน อธิบดีกรมแพทย์แผนไทยฯ ว่าที่ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ผู้แทนที่รัฐมนตรีมอบหมายมาพูดคุย


จากการหารือ สปสช.มีท่าทีจะตัดเกณฑ์คุณภาพออกจากการตรวจ เหลือเพียงการพิจารณากรณีที่ไม่มีการให้บริการจริง ขณะที่ประเด็นการ “ขยายผล” (Extrapolate) ให้ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของแต่ละเขตสุขภาพ


“เราจึงทำหนังสือยืนยันจุดยืนส่งถึงประธานอนุกรรมการหลักประกันสุขภาพระดับเขต (อปสข.) เพราะตัวแทนโรงพยาบาลศูนย์/ทั่วไปใน อปสข.มีเพียง 1 คน ทำให้ไม่มีโอกาสชี้แจงโดยตรง จึงใช้วิธีลงนามร่วมกันในแต่ละเขต” นพ.อนุกูล กล่าว


ตัวแทนชมรมรพศ./รพท. ระบุว่า ขณะนี้ สปสช.โยนการตัดสินใจไปยังเขตสุขภาพ ซึ่งหลายเขตทยอยแสดงจุดยืนไม่เห็นด้วยกับแนวทางดังกล่าว โดยหลังจาก อปสข.แต่ละเขตสรุปความเห็น จะส่งต่อไปยังส่วนกลางเพื่อพิจารณา


สำหรับข้อกังวลของภาคประชาชนที่สนับสนุนการสุ่มตรวจเวชระเบียนเพื่อควบคุมงบประมาณ นพ.อนุกูล ชี้แจงว่า โรงพยาบาลไม่ได้ขัดข้องต่อการสุ่มตรวจ แต่ไม่เห็นด้วยกับการนำผลสุ่มตรวจเพียงบางส่วนมาขยายเป็นการหักงบ 100% เพราะไม่สะท้อนความเป็นจริง


“ถ้าตรวจ 100% แล้วตัดงบเฉพาะรายการที่ผิด เรายินดีเต็มที่” เขากล่าว พร้อมเห็นด้วยต่อข้อเสนอให้มีองค์กรกลางอิสระมาตรวจแทนกองทุนหลักประกันฯ เพื่อลดความขัดแย้ง เนื่องจากกองทุนมีแรงจูงใจในการใช้จ่ายให้น้อยที่สุด ขณะที่โรงพยาบาลต้องการให้ได้รับงบเต็มตามการให้บริการจริง


นพ.อนุกูล ระบุว่า เรื่องนี้ยังไม่ยุติ ต้องรอข้อสรุปจากแต่ละเขต โดยปัจจุบันประเด็นที่หารืออยู่ครอบคลุมเพียงงวดงบประมาณไตรมาส 1-2 ของปี 2568 แต่ข้อเสนอของโรงพยาบาลครอบคลุมถึงปีงบประมาณ 2569 ด้วย ซึ่งต้องติดตามว่าจะถูกนำไปปรับใช้หรือไม่


สำหรับ จดหมายเปิดผนึกถึงประธานคณะอนุกรรมการหลักประกันสุขภาพ ระดับเขตพื้นที่ เขตสุขภาพ 5,7 และ 11  ระบุ ตามที่ สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ได้มีการนำเสนอแนวทางการปรับลด เงินชดเชยค่าบริการผู้ป่วยใน (RW) โดยมีมาตรการตรวจสอบเวชระเบียนของผู้รับบริการในไตรมาส 1 และ 2 ของปีงบประมาณ 2568 ด้วยการสุ่มตัวอย่าง 3% เพื่อนำผลที่ได้มาขยายผล (Extrapolation) กับข้อมูล ทั้งหมด 100% ซึ่งส่งผลให้ค่า RW ลดลงทั่วประเทศ และจะนำไปใช้ในการคำนวณเงินชดเชยค่าบริการสำหรับโรงพยาบาลนั้น




นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด และผู้อำนวยการโรงพยาบาลศูนย์/โรงพยาบาลทั่วไป เขตสุขภาพที่ 5,7,12 ขอเรียนว่าได้พิจารณาแนวทางดังกล่าวแล้ว และมีข้อคัดค้านในประเด็นสำคัญ  ประการ ดังนี้


1. การนำผลการตรวจสอบคุณภาพเวชระเบียนมาใช้เป็นเกณฑ์หักเงินชดเชยค่าบริการที่ได้รักษาไปแล้ว : โรงพยาบาลยืนยันว่าเวชระเบียนที่บันทึกไม่ครบถ้วนหรือไม่สมบูรณ์ เช่น การลงข้อมูล Summary discharge ที่ไม่ครบถ้วน การเขียนบันทึกที่ไม่ชัดเจน หรือลายเซ็นอ่านยาก เป็นประเด็นด้าน “คุณภาพของการบันทึก” ซึ่งควรนำไปใช้เพื่อการพัฒนาและปรับปรุงระบบการบันทึกเวชระเบียนให้มีคุณภาพ ยิ่งขึ้น ไม่ใช่เป็นหลักฐานของการ “Overclaim” เพื่อนำมาหักเงินชดเชยค่ารักษาพยาบาลที่โรงพยาบาลได้ให้บริการแก่ผู้ป่วยไปแล้ว ซึ่งถือเป็นภารกิจหลักที่โรงพยาบาลต้องปฏิบัติอย่างเต็มที่หากมีการทุจริตหรือการโกงเกิดขึ้นจริงโรงพยาบาลพร้อมที่จะให้ตรวจสอบและรับผิดชอบ แต่การนำประเด็นด้านคุณภาพการบันทึกมาผูกโยงกับการหักเงินชดเชยค่าบริการ ถือเป็นแนวทางที่ไม่เป็นธรรมและไม่ถูกต้องตามหลักการบริหารจัดการทางการเงินและการบริการสุขภาพ 


2. การขยายผลจากผลการสุ่มตรวจ 3% เป็น 100%: การนำผลการตรวจสอบข้อมูลเพียง 3% มาขยายผลเทียบเคียงกับข้อมูลทั้งหมด 100% ทำให้โรงพยาบาลถูกปรับลดค่า RW ลงอย่างไม่สมเหตุสมผลและไม่สอดคล้องกับสถานการณ์จริง การดำเนินการในลักษณะนี้ไม่สามารถสะท้อนคุณภาพการให้บริการทางการแพทย์ของโรงพยาบาลได้อย่างแท้จริง และส่งผลกระทบต่อเงินชดเชยที่โรงพยาบาลได้รับอย่างรุนแรงโดยเฉพาะอย่างยิ่งโรงพยาบาลขนาดเล็กและโรงพยาบาลชุมชน ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการให้บริการประชาชนในพื้นที่ชนบทและได้รับผลกระทบหนักกว่าโรงพยาบาลขนาดใหญ่


การใช้มาตรการดังกล่าวจะสร้างผลกระทบในวงกว้างต่อระบบบริการสาธารณสุขของประเทศ โดยเงินชดเชยที่ลดลงจะทำให้โรงพยาบาลขาดสภาพคล่องทางการเงิน และส่งผลกระทบต่อคุณภาพการให้บริการในอนาคต 









ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

หมอมานพ แจงยิบ! เงื่อนไขใหม่ “มะเร็งรักษาทุกที่” ทำไมต้องมีใบส่งตัว

บัตรทอง ใช้งบผิดทาง ปลายปิดกับรพ.ใหญ่ ปลายเปิดกับร้านยา

“โรงพยาบาลท่าตูม” แนวรับด่านใหม่ – รองรับผู้ป่วยชายแดนกว่า 170 ราย หลัง รพ.แนวปะทะต้องปิดบริการ