สหภาพแพทย์ฯ หวั่น ร่างกม.จำกัดชั่วโมงหมอ แก้ปัญหาบุคลากรได้เพียงบางส่วน
“พญ.ชุตินาถ” ชี้ ก.ม.จำกัดชั่วโมงหมอ เสี่ยงกระทบบริการ-แก้ปัญหาได้เพียงบางส่วน ขณะที่ “สมศักดิ์” เผย ร่างแยก สธ.จาก ก.พ.ไร้คืบหน้า ไม่ขัดกฎหมายชั่วโมงทำงานแพทย์ ระบุต้องแก้ควบคู่ผลิตคน-ลด NCDs
จากกรณี นพ.วีระพันธ์ สุวรรณนามัย สมาชิกวุฒิสภา และรองประธานคณะกรรมาธิการการสาธารณสุข วุฒิสภา เดินหน้าผลักดัน ร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) กำหนดชั่วโมง การทำงานบุคลากรทางการแพทย์ ซึ่งเสนอโดย รศ.นพ.เมธี วงศ์ศิริสุวรรณ
สาระสำคัญของร่างกฎหมายฉบับนี้ กำหนดให้บุคลากรทางการแพทย์
- เวลาราชการ: ทำงานตามปกติ
- นอกเวลาราชการ: ไม่เกิน 40 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ และต้องเป็นไปด้วยความสมัครใจ
- วันหยุดราชการ: ทำงานได้ไม่เกิน 12 ชั่วโมงต่อวัน และไม่เกิน 2 วันติดกัน (ยกเว้นกรณี on call)
- เวร on call: สามารถตามตัวได้ แต่ต้องมีเวลาพักที่ชัดเจน
- เวรดึก: เมื่อเลิกเวร ต้องมีเวลาพักอย่างน้อย 8 ชั่วโมง และไม่เกิน 3 ครั้งต่อสัปดาห์
- ชั่วโมงพัก: ต้องไม่น้อยกว่า 60 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ และไม่น้อยกว่า 1 วันต่อสัปดาห์
- ชั่วโมงฉุกเฉิน: สามารถเรียกทำงานได้เฉพาะกรณีจำเป็นจริง ๆ เท่านั้น
หวั่น ก.ม.จำกัดชั่วโมงหมอ เสี่ยงกระทบบริการ แก้ปัญหาได้เพียงบางส่วน
ด้าน พญ.ชุตินาถ ชินอุดมพร ตัวแทนสหภาพแพทย์ผู้ปฏิบัติงาน ให้สัมภาษณ์ #เก็บตกจากวชิรวิทย์ ว่า ถ้าเปรียบเทียบร่างกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการทำงานของแพทย์ในปัจจุบัน สหภาพมองว่า ร่างกฎหมายที่อาจารย์เมธีเสนอเกี่ยวกับการกำหนดชั่วโมงการทำงาน ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่มีที่มาจากการเคลื่อนไหวที่ต่อเนื่องกันมานาน โดยเดิมทีสหภาพเคยเสนอให้จำกัดชั่วโมงการทำงานไม่เกิน 80 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ และในร่างของอาจารย์เมธีก็กำหนดไว้อย่างชัดเจนว่า นอกเวลาราชการต้องไม่เกิน 40 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ รวมถึงการกำหนดชั่วโมงเวร ซึ่งต่อมามีการผลักดันร่วมกับแพทยสภาจนออกมาเป็นประกาศปี 2565 สำหรับแพทย์อินเทิร์น
อย่างไรก็ตาม แม้ร่างกฎหมายนี้จะมีการพูดคุยกันหลายครั้ง แต่ก็ยังไม่สามารถนำมาใช้ได้จริง สาเหตุเพราะหากกำหนดชั่วโมงการทำงานโดยไม่มีมาตรการรองรับ จะกระทบต่อการให้บริการผู้ป่วยโดยตรง เนื่องจากบุคลากรทางการแพทย์ยังไม่เพียงพอ หากบังคับใช้ทันที บางโรงพยาบาลอาจต้องปิดให้บริการ ดังนั้น อาจารย์เมธีจึงวางบทเฉพาะกาลไว้ เพื่อให้มีช่วงเปลี่ยนผ่านที่กระทบน้อยที่สุด
หัวใจสำคัญของร่างกฎหมายนี้คือ ต้องการให้เกิด 2 หลักประกันสำคัญ
1. หากแพทย์ต้องทำงานเกิน 80 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ซึ่งมีหลักฐานทางวิชาการชัดเจนว่าทำให้เสี่ยงต่อสุขภาพและการปฏิบัติงาน หากเกิดความผิดพลาด ความรับผิดชอบไม่ควรตกอยู่กับแพทย์เพียงฝ่ายเดียว แต่รัฐต้องมีส่วนรับผิดชอบร่วมด้วย เพราะที่ผ่านมาหมอมักถูกฟ้องเป็นการส่วนตัว แม้โรงพยาบาลจะช่วยเหลือก็ตาม
2. การเรียกแพทย์มาทำงานเกินชั่วโมงที่กำหนด ควรจำกัดเฉพาะกรณีฉุกเฉินที่จำเป็นจริง ๆ ไม่เช่นนั้นภาระและความเสี่ยงทั้งหมดจะตกอยู่กับแพทย์ผู้ปฏิบัติงาน
ส่วนประเด็นที่ว่าร่างกฎหมายนี้จะช่วยแก้ปัญหาบุคลากรลาออกหรือไม่ หมอมองว่าอาจได้ผลเพียงบางส่วน โดยเฉพาะในกลุ่มแพทย์ เพราะรายได้ของแพทย์สูงกว่าวิชาชีพอื่น
“แต่สำหรับพยาบาลหรือผู้ช่วยพยาบาล ซึ่งรายได้ส่วนใหญ่ขึ้นอยู่กับการทำโอทีหรือขึ้นเวร หากถูกจำกัดชั่วโมงทำงาน รายได้จะหายไปมาก ทำให้บุคลากรกลุ่มนี้เสี่ยงลาออกเพิ่มขึ้น ซึ่งน่าเป็นห่วง เพราะระบบขาดแคลนอยู่แล้ว” พญ.ชุตินาถ กล่าว
ดังนั้น หากมองในภาพรวม ร่างกฎหมายนี้แก้ปัญหาได้เพียงบางมิติเท่านั้น เพราะปัญหาการขาดบุคลากรมีหลายสาเหตุ ไม่ใช่เพียงเรื่องชั่วโมงทำงาน หากแก้เพียงปัจจัยเดียวโดยไม่เพิ่มค่าตอบแทนหรือปรับระบบสนับสนุนอื่น ๆ อาจสร้างปัญหาใหม่แทนที่จะเป็นทางออก
สำหรับอีกหนึ่งร่างกฎหมาย คือการแยก สธ. ออกจาก ก.พ. ซึ่งจะเกี่ยวข้องกับตำแหน่งและระบบราชการของบุคลากร แม้บุคลากรจำนวนมากรอคอยความเปลี่ยนแปลง แต่จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่เห็นความพยายามขับเคลื่อนชัดเจนจากรัฐบาล ทำให้ไม่มั่นใจว่ารัฐจะจริงจังกับเรื่องนี้หรือไม่
เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว ทั้งสองร่างกฎหมายยังไม่ตอบโจทย์ตรงไปตรงมา เพราะร่างกฎหมายจำกัดชั่วโมงทำงานไม่ได้แก้ปัญหาค่าตอบแทน ขณะที่การแยก สธ. จาก ก.พ. ก็ไม่ได้การันตีว่าทุกวิชาชีพจะได้รับประโยชน์หรือมีส่วนร่วมอย่างแท้จริง สหภาพจึงยืนยันว่า ปัญหาหลักอยู่ที่ค่าตอบแทนและสภาพการทำงานของทุกวิชาชีพ ไม่ใช่เฉพาะแพทย์ หากไม่แก้ไปพร้อมกันทั้งหมด การออกกฎหมายเพียงบางด้านจะไม่สามารถแก้ปัญหาที่แท้จริงได้
ร่าง กม.แยก สธ.จาก ก.พ.ไร้คืบหน้า “สมศักดิ์” ไม่ขัดกฎหมายชั่วโมงทำงานแพทย์
ด้าน นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.สาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า ตนพร้อมรับฟังทุกแนวทาง รวมถึงร่างกฎหมายที่เสนอเข้าสภาผู้แทนราษฎร โดยยืนยันว่าไม่ขัดข้อง และเห็นว่าเป็นอีกทางเลือกที่ดี
สำหรับร่าง พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการสาธารณสุข ที่เคยผลักดันเพื่อแยกออกจาก ก.พ. นายสมศักดิ์ยอมรับว่ายังไม่มีความคืบหน้า จึงต้องใช้มาตรการเสริมอื่น ๆ โดยแนวทางของ นพ.วีระพันธ์ สุวรรณนามัย ถือว่ามีเหตุผล และควรช่วยกันหลายทาง
เขาระบุว่า การปรับเวลาการทำงานไม่ใช่ปัญหา แต่ต้องคำนึงถึงคุณภาพการบริการประชาชนเป็นหลัก ขณะเดียวกันการลดภาระงานควรมาจากการป้องกันโรค ทำให้คนสุขภาพดี ลดการมาโรงพยาบาล และบรรเทาภาระบุคลากรทางการแพทย์
สำหรับการแก้ปัญหาขาดแคลนบุคลากร ต้องดำเนินการหลายด้านควบคู่กัน ทั้งการผลิตบุคลากรเพิ่ม (ซึ่งใช้เวลานาน) การลดผู้ป่วยโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) ที่คิดเป็น 3 ใน 4 ของผู้ป่วยนอกทั้งหมด รวมถึงการพัฒนามินิคลินิก บริการแพทย์ทางไกล (Telemedicine) และดึงบุคลากรเกษียณหรือภาคเอกชนเข้ามาช่วยเสริมระบบบริการ
ทั้งนี้ กลุ่มงานพัฒนาทรัพยากรสารสนเทศ สำนักวิชาการ สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ได้เผยแพร่ข้อมูลที่มาจาก กำลังคนภาครัฐ 2567 ของสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน(ก.พ.) เมื่อวันที่ 23 ส.ค.2568 ที่ผ่านมา ระบุถึงการสูญเสียของข้าราชการพลเรือนสามัญ กระทรวงสาธารณสุข ปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 - 2567 โดยพบการสูญเสียข้าราชการสูงถึง 33,853 คน
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น