สมศักดิ์ เร่งเชื่อมข้อมูลสุขภาพ สธ.-กทม. ดันคลินิกเอกชน ร่วมแก้ปัญหาเข้าถึงบริการ

ชี้โรงพยาบาล สธ. ใน กทม. มีน้อย ไม่เพียงพอรองรับคนกรุงใน 50 เขต เผยปัญหาย้ายสิทธิ-ใบส่งตัว ยังเป็นอุปสรรค เตรียมถกหาทางออกวันจันทร์นี้ 




วันนี้ (28 ส.ค. 68) นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ #เก็บตกจากวชิรวิทย์  ถึงความคืบหน้าในการเชื่อมโยงข้อมูลสุขภาพระหว่างกรุงเทพมหานคร (กทม.) และกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) โดยย้ำว่า แม้เรื่องนี้จะมีการหารือกันมาเป็นเวลานาน แต่ล่าสุดมีพัฒนาการที่เป็นรูปธรรมมากขึ้น 


นายสมศักดิ์ ระบุว่า ปัญหาการเข้าถึงบริการสุขภาพในพื้นที่กรุงเทพฯ ยังเป็นโจทย์ใหญ่ เนื่องจากโรงพยาบาลสังกัด สธ. มีจำนวนน้อย เมื่อเทียบกับ 50 เขตปกครองของ กทม. จึงจำเป็นต้องหาทางออกที่ประชาชนเข้าถึงบริการได้รวดเร็วที่สุด โดยมี “คลินิก” เป็นจุดเชื่อมสำคัญ พร้อมย้ำว่า สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ต้องร่วมรับรู้และหาข้อสรุปในการประชุมที่กำหนดขึ้นในวันถัดไป เพื่อให้ประชาชนใช้สิทธิรักษาพยาบาลได้อย่างเต็มที่


รัฐมนตรีสาธารณสุขยังเปิดเผยว่า จากการลงพื้นที่พบประชาชนในเขต กทม. ประมาณครึ่งหนึ่ง พบว่ายังมีปัญหาในการย้ายสิทธิรักษา รวมถึงขั้นตอนการใช้ใบส่งตัว จึงได้เชิญผู้เกี่ยวข้องมาหารือในการประชุมวันจันทร์นี้ เพื่อแก้ไขอุปสรรคดังกล่าว


สำหรับแนวทางการพัฒนาระบบบริการ นายสมศักดิ์กล่าวว่า การจัดตั้ง “มินิคลินิก” อาจไม่จำเป็นต้องดำเนินการโดยหน่วยงานรัฐเท่านั้น แต่อาจเปิดทางให้ภาคเอกชนเข้ามาร่วมลงทุน เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงบริการได้เร็วขึ้น ภายใต้นโยบาย 30 บาทรักษาทุกที่ ที่รัฐบาลกำหนดไว้ โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการหารือเรื่องอัตราค่าบริการต่อครั้ง ว่าจะอยู่ที่ 300–600 บาท เพื่อรองรับความต้องการใช้บริการของประชาชนในกรุงเทพฯ ซึ่งมีมากกว่า 11 ล้านครั้งต่อปี


“สิ่งสำคัญคือเราต้องทำให้การเข้าถึงง่ายและรวดเร็วขึ้น สอดคล้องกับนโยบายรัฐบาล” นายสมศักดิ์กล่าว


เชื่อมข้อมูลสุขภาพ กทม.-สธ. พูดกันมานาน รอบนี้ลุยจริงหรือ?


ความพยายามที่จะเชื่อมข้อมูลสุขภาพระหว่าง สธ.-กทม. มีมานานสักพักแล้ว แต่ดูเหมือนว่าจะไม่สำเร็จ 100% จนล่าสุดเมื่อวันที่ 27 ส.ค. 68 นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร พร้อมด้วยทีมผู้บริหารจากสำนักการแพทย์และสำนักอนามัย ได้หารือกับ นพ.สมฤกษ์ จึงสมาน อธิบดีกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก (ว่าที่ปลัด สธ.)​ และคณะผู้แทนจากกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) รวมถึงสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) เพื่อสร้างความร่วมมือด้านการแพทย์และสาธารณสุข โดยเฉพาะการเชื่อมโยง ข้อมูลสุขภาพ และการยกระดับประสิทธิภาพบริการประชาชนในกรุงเทพมหานครกันอีกครั้ง 


ทำไมต้องเชื่อมข้อมูลสุขภาพ “กทม. และ สธ.” 


1. โครงสร้างที่ซับซ้อนของระบบสาธารณสุขไทย


ประเทศไทยมีระบบบริการสาธารณสุขที่แยกกันหลายเส้นทาง กระทรวงสาธารณสุขดูแล รพศ. รพช.และ รพ.สต. บางส่วนในต่างจังหวัด แต่ในกรุงเทพฯ กทม.มีระบบบริการสาธารณสุขของตัวเอง ตั้งแต่ศูนย์บริการสาธารณสุข 69 แห่ง โรงพยาบาลสังกัด กทม. 11 แห่ง และโครงการเชิงป้องกัน เช่น ศูนย์สาธารณสุขชุมชน การแยกบทบาทเช่นนี้ทำให้เกิดปัญหาซ้ำซ้อน ขาดการเชื่อมโยงข้อมูล และไม่สามารถติดตามสุขภาพประชาชนได้ครบถ้วน


2. ข้อมูลสุขภาพที่ไม่เชื่อมโยงกัน


ปัจจุบัน ข้อมูลคนไข้จากโรงพยาบาลในสังกัดกทม. ไม่ได้เชื่อมต่อกับฐานข้อมูลหลักของสธ. และ สปสช. ส่งผลให้ประชาชนบางส่วนใช้สิทธิหลักประกันสุขภาพได้ไม่เต็มที่ เกิดความล่าช้าในการส่งต่อผู้ป่วย รวมถึงความเสี่ยงในการวินิจฉัยซ้ำหรือตรวจซ้ำโดยไม่จำเป็น


3. ความท้าทายของมหานครขนาดใหญ่


กรุงเทพฯ มีประชากรตามทะเบียนราว 5.5 ล้านคน แต่ประชากรจริงที่อาศัยอยู่รวมทั้งแรงงานต่างด้าวและผู้ที่ย้ายถิ่นชั่วคราวอาจสูงถึง 9–10 ล้านคน ระบบบริการจึงต้องรับภาระหนักกว่าตัวเลขทางการหลายเท่า เมื่อรวมกับสัดส่วนผู้สูงอายุที่เพิ่มขึ้น และโรคเรื้อรังที่ต้องการข้อมูลต่อเนื่อง ความจำเป็นในการจัดการข้อมูลสุขภาพให้เป็นเอกภาพจึงยิ่งทวีความสำคัญ



จะเกิดอะไรขึ้นบ้าง ถ้าเชื่อมข้อมูลสุขภาพ สธ. - กทม. ได้จริง 


1. ยกระดับการรักษาและการส่งต่อ

หากระบบข้อมูลของกทม.เชื่อมกับสธ. ประชาชนจะได้รับการรักษาแบบไร้รอยต่อ เช่น เมื่อป่วยที่ศูนย์บริการสาธารณสุขของกทม. ข้อมูลสามารถส่งต่อไปยังโรงพยาบาลของสธ. ได้ทันที ลดขั้นตอน ลดความซ้ำซ้อน และช่วยให้แพทย์ตัดสินใจรักษาได้แม่นยำขึ้น


2. รองรับนวัตกรรมใหม่ เช่น Telemedicine และ Mobile Unit

การประชุมครั้งนี้ยังหารือถึง telemedicine และ mobile stroke unit ที่ต้องพึ่งพาข้อมูลเรียลไทม์ หากไม่มีการเชื่อมต่อข้อมูล ระบบเหล่านี้จะทำงานได้ไม่เต็มศักยภาพ ความร่วมมือจึงไม่ใช่แค่เรื่อง “เอกสาร” แต่เป็นเงื่อนไขสำคัญของการพัฒนาสาธารณสุขยุคใหม่


3. ตอบโจทย์สังคมสูงวัยและโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs)

กรุงเทพฯ กำลังเผชิญสังคมสูงวัยเร็วกว่าภูมิภาคอื่น ผู้สูงอายุต้องการการติดตามสุขภาพต่อเนื่อง เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง หากฐานข้อมูลไม่เชื่อมกัน จะทำให้ระบบการดูแลขาดตอนและเพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อน


4. ประสิทธิภาพเชิงงบประมาณ

งบด้านสาธารณสุขมีข้อจำกัด การจัดซื้อยาหรืออุปกรณ์ทางการแพทย์ที่ไม่ประสานกันระหว่างกทม.และสธ.ทำให้สิ้นเปลืองงบประมาณโดยไม่จำเป็น ความร่วมมือจึงหมายถึงการใช้ทรัพยากรร่วมกันให้คุ้มค่ามากขึ้น


การเชื่อมโยงข้อมูลสุขภาพระหว่างกรุงเทพมหานครและกระทรวงสาธารณสุขมีแนวโน้มสร้างผลกระทบเชิงบวกหลายระดับ


 ระยะสั้น การแลกเปลี่ยนข้อมูลจะช่วยให้โครงการที่อยู่ระหว่างดำเนินงาน เช่น mobile stroke unit หรือ telemedicine ขับเคลื่อนได้รวดเร็วขึ้น ลดอุปสรรคด้านเอกสารและการประสานงาน 


ระยะกลาง ประชาชนจะได้รับบริการที่ต่อเนื่องและครบวงจรมากขึ้น โดยเฉพาะผู้ป่วยโรคเรื้อรัง ผู้สูงอายุ และแรงงานต่างถิ่นที่เคลื่อนย้ายไปมา 


ส่วนระยะยาว หากการเชื่อมต่อข้อมูลดำเนินไปอย่างมีประสิทธิภาพ กรุงเทพฯ อาจกลายเป็นต้นแบบของ “เมืองสุขภาพดิจิทัล” ที่เชื่อมโยงข้อมูลครบวงจร และสามารถต่อยอดเป็นโมเดลสำหรับจังหวัดใหญ่แห่งอื่น ๆ


แม้ว่าผลประโยชน์จะชัดเจน แต่การบูรณาการข้อมูลสุขภาพยังมีความท้าทายสำคัญที่ต้องจับตา 


  1. การปฏิบัติตามกฎหมายและคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (PDPA) เป็นสิ่งจำเป็น เพื่อให้ประชาชนมั่นใจว่าข้อมูลสุขภาพจะไม่รั่วไหลหรือถูกนำไปใช้ในเชิงพาณิชย์
  2. การรวมระบบราชการของกทม.และสธ. ที่มีโครงสร้างและวัฒนธรรมองค์กรต่างกัน ต้องอาศัยการบริหารจัดการเพื่อลด “กำแพงระหว่างหน่วยงาน”
  3. ความต่อเนื่องทางนโยบายเป็นสิ่งจำเป็น เพราะความร่วมมือนี้เกิดขึ้นภายใต้ผู้ว่าฯ และทีมบริหารชุดปัจจุบัน การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองอาจกระทบความต่อเนื่อง หากไม่มีการกำหนดเป็นแผนงานระยะยาวที่ชัดเจน

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

หมอมานพ แจงยิบ! เงื่อนไขใหม่ “มะเร็งรักษาทุกที่” ทำไมต้องมีใบส่งตัว

บัตรทอง ใช้งบผิดทาง ปลายปิดกับรพ.ใหญ่ ปลายเปิดกับร้านยา

“โรงพยาบาลท่าตูม” แนวรับด่านใหม่ – รองรับผู้ป่วยชายแดนกว่า 170 ราย หลัง รพ.แนวปะทะต้องปิดบริการ