“เครือข่ายประชาชนเข้มแข็ง” ยื่น DSI จี้ตรวจสอบกรมควบคุมโรค ไม่ใช่เอาผิดแพทย์ชนบทรายเดียว

ย้อนถามความโปร่งใสทั้งระบบ ตั้งข้อสังเกตการจัดซื้อซิโนแวค 12 ล้านโดส แต่ใช้น้อยกว่าที่คาด เดินหน้าคู่ขนาน ยื่นทั้ง DSI และ กมธ.ป.ป.ช. สภาผู้แทนราษฎร หวั่นปลัดสาธารณสุขเกษียณสิ้น ก.ย. อาจทำให้สังคมไร้คำตอบที่ชัดเจน




วันนี้ (27 ส.ค. 68) เครือข่ายประชาชนเข้มแข็ง เข้ายื่นหนังสือต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) เพื่อขอให้ตรวจสอบความโปร่งใสในการจัดซื้อชุดตรวจหาเชื้อโควิด-19 แบบ Antigen Test Kit (ATK) และวัคซีนซิโนแวค ของกรมควบคุมโรคและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยย้ำว่าปัญหาการใช้งบประมาณแผ่นดินหลายหมื่นล้านบาทในช่วงวิกฤตโควิดที่ผ่านมา ยังไม่มีการตรวจสอบอย่างรอบด้าน


 ​​ปม “หมอสุภัทร” จุดกระแสย้อนตรวจสอบ


นายวรา จันทร์มณี เลขาธิการเครือข่ายประชาชนเข้มแข็ง เปิดเผยว่า เหตุผลสำคัญที่ตัดสินใจยื่นเรื่องในเวลานี้ มาจากกรณีการถูกสอบสวนวินัยร้ายแรงของ นพ.สุภัทร ฮาสุวรรณกิจ ประธานชมรมแพทย์ชนบท ซึ่งคณะกรรมการสอบวินัยฯ มีมติลงโทษให้ออกจากราชการ จากกรณีจัดซื้อ ATK ราคา 230 บาทต่อชุด


“เรื่องนี้ทำให้ภาคประชาชนย้อนกลับไปตั้งคำถามว่า ขณะที่หมอสุภัทรถูกตรวจสอบ หน่วยงานส่วนกลางอย่างกรมควบคุมโรคหรือโรงพยาบาลใหญ่ ๆ ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล ซื้อ ATK และวัคซีนในราคาเท่าใด และมีความโปร่งใสหรือไม่ โดยเฉพาะวัคซีนซิโนแวคที่มีการจัดซื้อจำนวนมากถึง 12 ล้านโดส แต่ถูกวิจารณ์ว่ามีการใช้น้อยกว่าที่คาด” วรากล่าว


เขาย้ำว่า การมุ่งตรวจสอบเฉพาะแพทย์ชนบทเพียงคนเดียวอาจไม่เป็นธรรม พร้อมตั้งข้อสังเกตว่า การวิพากษ์วิจารณ์นโยบายในเวลานั้นของชมรมแพทย์ชนบท อาจเป็นปัจจัยหนึ่งที่นำไปสู่การตรวจสอบและลงโทษ นพ.สุภัทร


 เรียกร้องตรวจสอบ “ผู้มีอำนาจ” ยุคนั้น


เลขาธิการเครือข่ายประชาชนเข้มแข็งระบุว่า สิ่งที่ต้องการคือการตรวจสอบทุกระดับ โดยเฉพาะหน่วยงานหลักที่มีอำนาจจัดซื้อ เช่น กรมควบคุมโรค ซึ่งในเวลานั้นอยู่ภายใต้การกำกับของผู้บริหารระดับสูงกระทรวงสาธารณสุข


“ไม่ใช่ว่าเรามีอคติหรือเจาะจงใคร แต่เรามองว่า DSI ในฐานะองค์กรตรวจสอบ ต้องทำหน้าที่สร้างความเป็นธรรมและธรรมาภิบาลให้บ้านเมือง” วรากล่าว พร้อมย้ำว่าข้อมูลที่ยื่นในวันดังกล่าว เป็นหลักฐานจากการอภิปรายของฝ่ายค้านและข้อสังเกตของชมรมแพทย์ชนบทในช่วงการระบาดโควิด


 จี้ตรวจสอบอย่างเท่าเทียม


เครือข่ายฯ ระบุว่า การลงโทษเฉพาะ นพ.สุภัทร จากกรณีจัดซื้อ ATK ในราคา 230 บาท โดยไม่ตรวจสอบหน่วยงานอื่น ๆ ที่อาจซื้อในราคาเท่ากันหรือสูงกว่า เป็นสิ่งที่สังคมตั้งคำถาม และไม่ควรถูกใช้เป็นเหตุผลเพียงฝ่ายเดียว 


“ถ้าพบว่าหน่วยงานอื่นซื้อในราคาไม่แตกต่าง หรือแพงกว่า สิ่งที่หมอสุภัทร ทำก็ไม่ใช่การทำเพื่อประโยชน์ส่วนตน แต่เพื่อสถานการณ์ฉุกเฉินที่ต้องตัดสินใจเร็ว ซึ่งกรมบัญชีกลางเองก็ยืนยันว่าทำได้ในภาวะนั้น” วรากล่าว


 ​เดินหน้าสองทาง DSI–สภาผู้แทนราษฎร


นอกจากการยื่นเรื่องต่อ DSI แล้ว เครือข่ายประชาชนเข้มแข็งยังได้ยื่นหนังสือต่อคณะกรรมาธิการ ป.ป.ช. ของสภาผู้แทนราษฎร เพื่อเรียกผู้เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะปลัดกระทรวงสาธารณสุข และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง มาชี้แจงเหตุผลการลงโทษ นพ.สุภัทร 


วราเปิดเผยว่า ทางสภาฯ ได้รับเรื่องแล้ว และคาดว่าจะมีการนัดประชุมไม่เกินหนึ่งเดือน เพื่อพิจารณาความเป็นธรรมในกระบวนการสอบสวน 


 กังวล “ปลัด” เกษียณ อาจไร้คำตอบ


เขายังสะท้อนความกังวลว่า การสอบสวนอาจไม่บรรลุผล หากปลัดกระทรวงสาธารณสุขซึ่งมีบทบาทสำคัญในช่วงเวลานั้น กำลังจะเกษียณอายุราชการสิ้นเดือนกันยายนนี้ ทำให้สังคมอาจไม่ได้รับคำตอบที่ชัดเจน


“หลายองค์กรภาคประชาสังคมเสนอให้ย้ายปลัดออกจากตำแหน่งก่อน เพื่อให้การตรวจสอบเป็นธรรม ไม่ใช่เพียงการมุ่งเอาผิดแพทย์คนหนึ่ง แต่ควรตรวจสอบผู้บริหารที่ดูแลระบบในภาพรวมด้วย” เลขาธิการเครือข่ายฯ กล่าว


 ​​ไม่ใช่การ “เอาคืน” แต่เพื่อความถูกต้อง


ต่อข้อสงสัยว่าการยื่นตรวจสอบครั้งนี้เป็นการ “เอาคืน” กระทรวงสาธารณสุขหรือไม่ นายวราปฏิเสธ โดยยืนยันว่า จุดประสงค์คือการทบทวนความถูกต้องในกระบวนการจัดซื้อช่วงโควิด ไม่ใช่การแก้แค้น


“นี่คือการเรียกร้องให้ตรวจสอบอย่างทั่วถึง ว่าหน่วยงานใดจัดซื้อในราคาเท่าใด และเป็นไปตามกฎหมายหรือไม่ เพื่อสร้างความมั่นใจแก่สังคมว่าการใช้งบประมาณแผ่นดินในยามวิกฤตเป็นไปอย่างโปร่งใส” วรากล่าวทิ้งท้าย


“สมศักดิ์” ยันพร้อมรับตรวจสอบจัดซื้อ ATK–ซิโนแวค


วันเดียวกันที่สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ (สพฉ.) นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีเครือข่ายประชาชนเข้มแข็งยื่นหนังสือต่ออธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) ขอให้ตรวจสอบการจัดซื้อชุดตรวจ ATK และวัคซีนโควิด-19 (Sinovac) ภายใต้ความรับผิดชอบของกรมควบคุมโรค รวมถึงโรงพยาบาลที่เกี่ยวข้อง โดยย้ำว่า การร้องเรียนตรวจสอบถือเป็นสิทธิที่ทำได้




เมื่อผู้สื่อข่าวถามถึงความกังวลต่อการร้องเรียนที่เกิดขึ้นต่อเนื่อง ภายหลังกรณีการสอบสวนวินัยร้ายแรง นพ.สุภัทร ฮาสุวรรณกิจ ปมการจัดซื้อชุดตรวจ ATK นายสมศักดิ์ตอบว่า สิ่งที่กังวลคือกระบวนการตรวจสอบอาจไม่รวดเร็วเพียงพอ เพราะเรื่องดังกล่าวมีการตรวจสอบมานานแล้ว แต่หากมีการตรวจเพิ่มก็ถือว่าเป็นผลดี เพราะจะได้เห็นข้อเท็จจริงชัดเจนยิ่งขึ้น


สำหรับกรณีที่มีการตั้งคำถามว่า หากเครือข่ายประชาชนเข้มแข็งยื่นตรวจสอบตั้งแต่ช่วงโควิดระบาดในสมัยรัฐบาลก่อน ตนจะรับหรือไม่ นายสมศักดิ์ยืนยันว่า “ต้องรับเรื่องอยู่แล้ว ไม่มีปัญหา หากส่งมาก็ตรวจสอบให้ ผมให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย”


ส่วนประเด็นที่ถูกถามว่าจะมีการเรียกข้อมูลจากกรมควบคุมโรคหรือโรงพยาบาลที่เกี่ยวข้องเพื่อดูว่าดำเนินการถูกต้องตามระเบียบหรือกฎหมายหรือไม่นั้น นายสมศักดิ์กล่าวว่า หากมีการร้องเรียนเข้ามา กระทรวงก็ต้องตั้งคณะกรรมการตรวจสอบตามขั้นตอน และหากมีข้อกังวลต่อคณะกรรมการ ก็สามารถร้องเรียนเพิ่มเติมได้ ยืนยันว่าจะอำนวยความสะดวกให้ทุกฝ่าย


“เรื่องนี้เกิดขึ้นแล้ว จะปล่อยให้จบไปเฉย ๆ คงไม่ได้ อาจเข้าข่ายคดีอาญาด้วยหรือไม่ ผมเข้าใจว่า อะไรที่เป็นคดีไม่สามารถจบลงเองได้ ต้องมีการตรวจสอบให้ครบถ้วนและสมบูรณ์” นายสมศักดิ์กล่าว


 ​เปิดหนังสือเครือข่ายฯ ยื่น DSI 


เรื่อง ขอให้ตรวจสอบการจัดซื้อวัคซีนโควิด-19 (Sinovac) และชุดตรวจ ATK ซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบของกรมควบคุมโรค และ/หรือ หน่วยงาน/โรงพยาบาลอื่นๆ ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล รวมถึงประเด็นอื่นๆ ที่เห็นว่าจะส่งเสริมการสร้างธรรมาภิบาลในการบริหารจัดการภาครัฐ


เรียน อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ


จากปัญหาอุบัติภัยโควิด-19 ที่ผ่านมา มีคำถามจากสังคมถึงความโปร่งใส ประสิทธิภาพ และประสิทธิผล ในการบริหารจัดการ และการใช้งบประมาณแผ่นดินจำนวนหลายหมื่นล้านบาทของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเด็นวัคซีนซิโนแวค (Sinovac) และชุดตรวจ ATK


ขอยกตัวอย่างประเด็นที่พรรคฝ่ายค้านในขณะนั้นได้ตั้งคำถามในการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล ดังนี้


1. เรื่องส่วนต่างราคา – มีข้อสังเกตว่ามีการอนุมัติงบประมาณการจัดซื้อวัคซีนซิโนแวคในราคาที่สูงกว่าราคาซื้อจริง ทำให้เกิดส่วนต่างมูลค่าหลายพันล้านบาท และตั้งคำถามว่าเงินส่วนต่างนี้ไปอยู่ที่ใด

2. เรื่องการจัดซื้อแบบพิเศษ – มีการกล่าวหาว่ารัฐบาลเลี่ยงการจัดซื้อจัดจ้างตามระเบียบปกติ และใช้ช่องทางพิเศษให้องค์การเภสัชกรรมเป็นผู้จัดซื้อ ซึ่งเป็นการจัดซื้อเชิงพาณิชย์ ไม่ใช่รัฐต่อรัฐ

3. เรื่องความหลากหลายของวัคซีน – ฝ่ายค้านกล่าวหาว่ารัฐบาลพึ่งพิงวัคซีนซิโนแวคมากเกินไป และตัดสินใจช้าในการจัดหาวัคซีนชนิดอื่น เช่น mRNA ทำให้ประชาชนขาดทางเลือกในการรับวัคซีนที่มีคุณภาพ

4. เรื่องประสิทธิภาพของวัคซีน – มีคำถามถึงประสิทธิภาพซิโนแวคเมื่อเทียบกับวัคซีนชนิดอื่น และความสามารถในการป้องกันไวรัสสายพันธุ์ใหม่

5. เรื่องการทุจริตและการเอื้อประโยชน์ – มีการกล่าวหาว่าการจัดซื้ออาจเข้าข่ายทุจริตหรือเอื้อประโยชน์พวกพ้อง โดยอ้างถึงประวัติการติดสินบนเจ้าหน้าที่ในต่างประเทศของบริษัทซิโนแวค


นอกจากนี้ ชมรมแพทย์ชนบท ซึ่งอยู่หน้างานในช่วงโควิด ยังได้ตั้งคำถามต่อรัฐบาลอย่างต่อเนื่อง เช่น


1. ประสิทธิภาพวัคซีนซิโนแวคต่ำกว่าวัคซีนชนิดอื่น เช่น ไฟเซอร์ หรือ แอสตราเซเนกา โดยเฉพาะการป้องกันสายพันธุ์เดลต้า

2. การจัดซื้อวัคซีนล่าช้าและไม่หลากหลาย – วิจารณ์การไม่เข้าร่วมโครงการ COVAX และมุ่งซื้อเฉพาะซิโนแวค–แอสตราเซเนกา ขณะที่ไฟเซอร์และโมเดอร์นาเข้ามาช้า

3. การจัดการวัคซีนส่วนเกิน – มีปัญหาวัคซีนล้นคลัง กระจายวัคซีนใกล้หมดอายุไปยัง รพ.สต. จำนวนมาก จนถูกตั้งคำถามว่าเป็นการนำวัคซีนไปทิ้งปลายทางแทนที่จะทำลายอย่างถูกวิธี


จากข้อมูลดังกล่าว ด้วยความห่วงใยต่อประโยชน์ของประชาชน และความเป็นธรรมาภิบาล เครือข่ายประชาชนเข้มแข็งจึงขอเรียกร้องให้กรมสอบสวนคดีพิเศษตรวจสอบการจัดซื้อวัคซีนซิโนแวคและ ATK รวมถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กรมควบคุมโรค โรงพยาบาลพระนั่งเกล้า กระทรวงสาธารณสุข และประเด็นอื่นๆ ที่ส่งเสริมการสร้างธรรมาภิบาล โดยมีสาระสำคัญดังนี้


1. ราคาจัดซื้อวัคซีนและ ATK – สูงเกินสมควร เมื่อเทียบกับราคาตลาดและการจัดซื้อใกล้เคียงกัน

2. ประสิทธิภาพวัคซีนซิโนแวค – มีข้อจำกัดในการป้องกันการติดเชื้อ โดยเฉพาะสายพันธุ์ใหม่ แต่ยังมีการสั่งซื้อมากในช่วงหลัง

3. กระบวนการคัดเลือกผู้จัดจำหน่าย – ขาดความโปร่งใส อาจมีการใช้อำนาจแทรกแซงหรือละเมิดกลไก อภ. หรือ สปสช.

4. การละเลยคำเตือนผู้เชี่ยวชาญ – แม้ภาควิชาการและภาคประชาสังคมออกมาแสดงจุดยืนชัดเจนไม่เห็นด้วยกับคุณภาพ ATK และประสิทธิภาพวัคซีนในเวลานั้น


ในการจัดการโควิด-19 หน่วยงานรัฐใช้งบประมาณจากภาษีประชาชนจำนวนมหาศาล ซึ่งต้องโปร่งใส มีประสิทธิภาพ และเป็นธรรม เครือข่ายประชาชนเข้มแข็งจึงขอให้กรมสอบสวนคดีพิเศษรับดำเนินการตรวจสอบเรื่องนี้อย่างตรงไปตรงมา และขอความกรุณาแจ้งความคืบหน้า รวมถึงผลการดำเนินการมายังที่อยู่ที่ระบุไว้

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

หมอมานพ แจงยิบ! เงื่อนไขใหม่ “มะเร็งรักษาทุกที่” ทำไมต้องมีใบส่งตัว

บัตรทอง ใช้งบผิดทาง ปลายปิดกับรพ.ใหญ่ ปลายเปิดกับร้านยา

“โรงพยาบาลท่าตูม” แนวรับด่านใหม่ – รองรับผู้ป่วยชายแดนกว่า 170 ราย หลัง รพ.แนวปะทะต้องปิดบริการ