นวัตกรรม VS กฎระเบียบ “รศ.บวรศม” ชี้ ทฤษฎีเบี่ยงเบนเชิงบวก ช่วยแยกเจตนาและผลลัพท์ในวิกฤต

ขณะที่ ภาคประชาสังคมชี้ “หมอสุภัทร” ไม่ได้รับความเป็นธรรม กังวลผลกระทบต่อนวัตกรรมสาธารณสุข จ่อพบ “สมศักดิ์” รมว.สธ.



วันนี้ (16 ส.ค. 68) รายการข่าวค่ำ ThaiPBS ได้นำเสนอประเด็น ”จับตาสอบสวนทางวินัย นพ.สุภัทร“ สืบเนื่องจาก นพ.สุภัทร ฮาสุวรรณกิจ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลสะบ้าย้อย จังหวัดสงขลา และประธานชมรมแพทย์ชนบท โพสต์เฟซบุ๊ค “ผมกำลังจะถูกให้ออกจากราชการ“ ภายหลังคณะกรรมการสอบสวนทางวินัยมีมติเมื่อวันศุกร์ที่ 15 ส.ค. ที่ผ่านมา กรณีจัดซื้อชุดตรวจโควิด (ATK) ในภารกิจ แพทย์ชนบทบุกกรุง เมื่อปี 2564 โดยยืนยันว่าการดำเนินการทุกขั้นตอนเป็นไปตามระเบียบราชการและสถานการณ์ฉุกเฉิน ไม่ได้ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ


ช่วงหนึ่ง #เก็บตกจากวชิรวิทย์  ได้สัมภาษณ์ ความเห็นจาก รศ.นพ. นพ. บวรศม ลีระพันธ์ อาจารย์และนักวิจัยระบบสุขภาพ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล ซึ่งระบุแนวคิดสำคัญในการทำงานภายใต้กฎระเบียบที่จำกัด โดยเฉพาะในช่วงวิกฤต เช่น โควิด-19 หรือสถานการณ์ชายแดน เขาย้ำว่า การละเมิดกฎไม่ได้เท่ากับเจตนาร้ายเสมอไป และต้องแยกให้ชัดระหว่างผู้ที่ทำเพื่อแก้ปัญหา กับผู้ที่ทำเพื่อตนเอง


“คำถามหลักคือ เราจะรู้ได้อย่างไรว่าคนที่ละเมิดกฎระเบียบเป็นเพราะกฎนั้นทำงานไม่ได้ หรือเพราะเจตนาไม่ดี?” นพ.บวรศม กล่าว พร้อมย้ำว่าหัวใจอยู่ที่การแยกเจตนาจากผลลัพธ์


เขาอธิบายว่าการนำนวัตกรรมมาใช้ในระบบราชการไทยมักติดอุปสรรค เพราะนวัตกรรมมักเปลี่ยนกฎเดิม 


ขณะเดียวกัน การทำงานแบบเดิมตามกฎไม่สามารถแก้ปัญหาที่ซับซ้อนได้ โดยยกตัวอย่างช่วงโควิด โรงพยาบาลชุมชนที่เข้ามาช่วยกรุงเทพฯ ได้ค่าตรวจจำนวนมาก แม้ไม่ได้เข้ากระเป๋าส่วนตัว แต่ประเด็นความเหมาะสมและการละเมิดกฎต้องพิจารณาอย่างรอบด้าน


“ต้องดูทั้งเจตนาและผลลัพธ์ ว่าทำเพื่อแก้ปัญหาหรือเพื่อประโยชน์ส่วนตัว และผลลัพธ์เกิดประโยชน์ต่อส่วนรวมจริงหรือไม่ ซึ่งสามารถถกแถลงได้อย่างโปร่งใส” 


นพ.บวรศม แนะนำใช้ทฤษฎี Positive Deviance หรือ “ทฤษฎีการเบี่ยงเบนเชิงบวก” เพื่อช่วยแยกแยะว่า การละเมิดกฎเกิดจากความพยายามหาวิธีแก้ปัญหาใหม่ หรือเป็นการแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตัว ผู้บริหารที่ดีควรสนับสนุนแนวทางสร้างสรรค์ และปรับปรุงกฎระเบียบให้ทันสมัย แทนการลงโทษโดยไม่พิจารณาเจตนาและผลลัพธ์


เขายังสะท้อนปัญหาของระบบราชการไทยว่า วิธีคิดเดิมและการคาดหวังผลลัพธ์ใหม่จากการทำงานแบบเดิม ทำให้เกิดข้อจำกัดในการสร้างนวัตกรรม และเป็นเหตุผลที่ทำให้ผู้ปฏิบัติงานอาจท้อแท้


นพ.บวรศม สรุปว่า การสร้างระบบสุขภาพที่ยืดหยุ่นและตอบสนองต่อวิกฤตต้องอาศัยการเรียนรู้จากข้อผิดพลาดและการปรับปรุงกฎระเบียบ โดยไม่ยึดติดกับแนวทางแบบฮีโร่คนเดียว แต่เป็นเรื่องของการกระจายแนวคิดใหม่ ๆ ให้ทั้งองค์กรและสังคมเข้าใจ


ภาคประชาสังคม กังวลผลกระทบต่อนวัตกรรมสาธารณสุข


ด้านนายนิมิตร์ เทียนอุดม ตัวแทนภาคประชาสังคม ให้ความเห็น ต่อกรณีที่นายแพทย์สุพัฒน์ ฮาสุวรรณกิจ กำลังจะถูกให้ออกจากราชการว่า เหตุการณ์นี้สะท้อนปัญหาด้านธรรมาภิบาลของผู้บริหารระดับสูงในกระทรวงสาธารณสุข พร้อมเรียกร้องความเป็นธรรมต่อบุคลากรที่ทำงานด้วยเจตนาดีในสถานการณ์วิกฤต


นายนิมิต ระบุว่า การดำเนินงานของหมอสุภัทร ในการจัดหาและแจกจ่ายชุดตรวจ ATK ขณะเกิดการระบาดของโควิด-19 เป็นไปตามเจตนาดี และมีการจัดทำตามขั้นตอนที่เหมาะสมแล้ว “ผมคิดว่าผู้บริหารระดับสูงต้องมีธรรมาภิบาลมากกว่านี้ ต้องไม่ใช้เหตุขัดแย้งเรื่องอื่นมาเป็นเหตุรังแกกัน”


เมื่อถามถึงประเด็นการจัดซื้อจัดจ้าง นายนิมิตร์ กล่าวว่า ในช่วงสถานการณ์โควิด การจัดหาชุดตรวจเป็นเรื่องจำเป็นและต้องดำเนินการอย่างเร่งด่วนเพื่อให้เพียงพอต่อความต้องการของชุมชน “ระเบียบราชการควรเอื้อและสนับสนุนการทำงาน ไม่ใช่มาเป็นอุปสรรค” นอกจากนี้ การประเมินจำนวนชุดตรวจล่วงหน้าเป็นเรื่องยาก จึงต้องซื้อและแจกจ่ายตามความจำเป็นในแต่ละจุดตรวจ


นายนิมิตร์ ยังย้ำว่าการแก้ปัญหาในสถานการณ์ฉุกเฉินเช่นนี้ เป็นการปฏิบัติที่เหมาะสม และภาคประชาสังคมมองว่า บุคลากรแพทย์ชนบทที่ลงพื้นที่ช่วยเหลือประชาชนถือว่ามีความพยายามและทำงานเต็มที่


สำหรับทางออกของกรณีนี้ นายนิมิตร์ เสนอว่า ควรพิจารณาข้อเท็จจริงอย่างตรงไปตรงมา และให้ความเป็นธรรมแก่บุคลากร ไม่ใช้เรื่องความขัดแย้งหรืออคติอื่นเข้ามาปน “รัฐมนตรีสาธารณสุขควรตรวจสอบรายละเอียด และรักษาบุคลากรที่มีคุณภาพไว้ เพราะหมอสุพัฒน์เป็นบุคลากรสำคัญของระบบสาธารณสุข”


นอกจากนี้ เขายังกล่าวถึงความเสี่ยงต่ออนาคตของนวัตกรรมด้านสาธารณสุข หากเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นซ้ำ ผู้ปฏิบัติงานอาจไม่กล้าดำเนินการในสถานการณ์ฉุกเฉินครั้งต่อไป “ผู้บริหารต้องสนับสนุน ไม่ใช่มาเล่นกันแบบนี้ เพราะถ้าแพทย์ชนบทไม่ออกมาช่วย จะเกิดความเสียหายต่อผู้ป่วยโดยเฉพาะในกรุงเทพฯ”


นายนิมิตร์ กล่าวทิ้งท้ายว่า ภาคประชาสังคมอาจหารือร่วมกันเพื่อพิจารณาการแสดงจุดยืนหรือพบรัฐมนตรีเพื่อขอความกระจ่างต่อกรณีนี้

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

หมอมานพ แจงยิบ! เงื่อนไขใหม่ “มะเร็งรักษาทุกที่” ทำไมต้องมีใบส่งตัว

บัตรทอง ใช้งบผิดทาง ปลายปิดกับรพ.ใหญ่ ปลายเปิดกับร้านยา

“โรงพยาบาลท่าตูม” แนวรับด่านใหม่ – รองรับผู้ป่วยชายแดนกว่า 170 ราย หลัง รพ.แนวปะทะต้องปิดบริการ