ไทยรับภาระเต็มตัว ดูแลผู้หนีภัยเมียนมา เตรียมงบ 160 ล้านบาทรองรับกว่า 2 แสนคน

สธ. เผยแผนดูแลสุขภาพผู้หนีภัยสู้รบ "เมียนมา" ช่วงเปลี่ยนผ่าน 12 เดือน เสนอ 2 แนวทางหลัง IRC ยุติบริการ 31 ก.ค. เร่งจัดระบบขึ้นทะเบียนแรงงานต่างชาติ ใช้บัตรระบุตัวตน เพื่อซื้อประกันสุขภาพเหมาจ่ายรายหัว ลดความเสี่ยงโรคและควบคุมค่าใช้จ่าย พร้อมตั้งศูนย์สุขภาพชายแดน 




วันนี้ (3 ก.ย. 68) นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ ประเด็นการดูแลผู้หนีภัยจากการสู้รบในเมียนมาที่เข้ามาอยู่ในพื้นที่พักพิงชั่วคราวตามแนวชายแดนไทย โดยปัจจุบันมีการจัดการเบื้องต้นผ่านองค์กรพัฒนาเอกชน เช่น IRC ซึ่งเดิมได้รับการสนับสนุนจากต่างประเทศ แต่เมื่อองค์กรเหล่านี้เริ่มลดบทบาทลง ทำให้ประเทศไทยจำเป็นต้องเข้ามารับภาระเอง


รัฐบาลจึงได้เตรียมงบกลางประมาณ 160 ล้านบาท เพื่อรองรับการดูแลผู้หนีภัยกว่า 200,000 คนตามพื้นที่พักพิงชั่วคราว โดยเฉพาะในจังหวัดแม่ฮ่องสอน ตาก และกาญจนบุรี และในอนาคตคาดว่าสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) จะเข้ามาจัดระเบียบแรงงานต่างชาติให้ชัดเจนมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการขึ้นทะเบียน หรือการใช้ระบบระบุตัวตน (iris scan) ร่วมกับสภากาชาดไทย


นายสมศักดิ์อธิบายว่า การจัดการแรงงานข้ามชาติเกี่ยวข้องกับหลายหน่วยงานหลัก ได้แก่


1. กระทรวงมหาดไทย – ดูแลการขึ้นทะเบียนแรงงานที่ถูกต้องตามกฎหมาย โดยผู้ที่ขึ้นทะเบียนจะได้รับ “เลขประจำตัว” แม้ไม่ใช่บัตรประชาชน แต่สามารถใช้ติดตามและกำกับได้

2. สภากาชาดไทย – รองรับแรงงานหรือผู้หนีภัยที่ยังไม่มีการขึ้นทะเบียน ให้สามารถเข้าถึงการดูแลพื้นฐานและระบบระบุตัวตน

3. กระทรวงสาธารณสุข – รับผิดชอบเรื่องการรักษาพยาบาลและการควบคุมโรค ซึ่งเป็นปัญหาสำคัญ เพราะหากไม่มีระบบตัวเลขหรือตัวตนที่ชัดเจน จะติดตามและควบคุมโรคได้ยาก เช่น โรคเท้าช้าง โปลิโอ หรือโรคติดต่ออื่น ๆ


ปัญหาที่สำคัญอีกด้านคือค่าใช้จ่ายในระบบสาธารณสุข นายสมศักดิ์ระบุว่า แต่ละปีประเทศไทยต้องแบกรับภาระการรักษาแรงงานต่างชาติที่ไม่ได้เข้าสู่ระบบประกันสุขภาพอย่างถูกต้อง ทำให้เกิดภาระขาดทุนราว 4,000–5,000 ล้านบาทต่อปี


ในปัจจุบัน แรงงานต่างชาติที่ขึ้นทะเบียนสามารถซื้อ ประกันสุขภาพแรงงานต่างด้าว ของกระทรวงสาธารณสุข โดยจ่ายเพียงประมาณ 1,700 บาทต่อคนต่อปี แต่เมื่อเปรียบเทียบกับการดูแลสุขภาพคนไทยในระบบบัตรทอง 30 บาท ที่รัฐใช้เงินภาษีเฉลี่ยเกือบ 4,000 บาทต่อหัวต่อปี จะเห็นว่าค่าประกันดังกล่าวไม่เพียงพอต่อค่าใช้จ่ายจริง ขณะเดียวกันยังมีแรงงานจำนวนมากที่ไม่ทำประกันและยังคงต้องเข้ารับบริการจากโรงพยาบาลของรัฐอยู่ดี


“แรงงานต่างด้าว 1 คน จ่ายเบี้ยประกันเพียงพันกว่าบาท แต่ค่ารักษาที่รัฐต้องดูแลจริงใกล้เคียงกับคนไทย คือราว 4,000 บาทต่อปี เมื่อไม่ได้เก็บจากทุกคน และมีคนจำนวนมากที่ไม่ขึ้นทะเบียน ก็ยิ่งทำให้ระบบขาดทุนปีละหลายพันล้าน” นายสมศักดิ์กล่าว


เขาเสนอว่า หากสามารถจัดระเบียบแรงงานต่างชาติให้เข้าสู่ระบบทั้งหมด โดยมีการขึ้นทะเบียนที่ชัดเจน ใช้ระบบออนไลน์เชื่อมโยงกันทั่วประเทศ และมีรูปแบบประกันสุขภาพที่เหมาะสม ก็จะช่วยลดภาระขาดทุนและทำให้การดูแลผู้ป่วยทั้งชาวไทยและต่างชาติเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ


กระทรวงสาธารณสุขอยู่ระหว่างหารือกับหลายหน่วยงาน รวมถึงสภากาชาดไทย เพื่อหาวิธีการใช้ “บัตรหรือสัญลักษณ์ระบุตัวตน” แทนบัตรประชาชนสำหรับแรงงานข้ามชาติ และเชื่อมโยงข้อมูลกับระบบดิจิทัลของกระทรวงสาธารณสุข เพื่อให้สามารถติดตาม ควบคุมโรค และจัดการค่าใช้จ่ายได้อย่างเป็นระบบ


นายสมศักดิ์ย้ำว่า เรื่องนี้ไม่ใช่ปัญหาที่แก้ไขได้โดยลำพังของกระทรวงสาธารณสุข แต่ต้องอาศัยความร่วมมือจากหลายหน่วยงาน และที่สำคัญต้องมีการปรับโครงสร้างการจัดเก็บเบี้ยประกันแรงงานต่างชาติให้เหมาะสม เพื่อไม่ให้ภาระตกอยู่ที่ประเทศไทยฝ่ายเดียว


ทั้งนี้ การดูแลด้านสาธารณสุขแก่ผู้หนีภัยในพื้นที่พักพิงชั่วคราวฯ มี 2 แนวทาง คือ 


1) จัดทำหลักประกันสุขภาพเหมาจ่ายรายหัว (Health Insurance Model) ให้กับผู้หนีภัย เพื่อลดผลกระทบจากค่าใช้จ่ายที่ไม่สามารถเรียกเก็บได้ โดยใช้เกณฑ์จากประกาศคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2568 เป็นแนวทางในการคิดค่าเหมาจ่ายรายหัว 


2) จัดตั้งศูนย์สุขภาพชายแดน (Border Health Center : BHC) เพื่อลดผลกระทบด้านภาระงานของบุคลากรทางการแพทย์ไทย และลดข้อจำกัดการเข้าถึงบริการสุขภาพจากอุปสรรคด้านภาษา โดยจ้างบุคลากรต่างชาติเป็นผู้ให้บริการ รวมถึงพัฒนาศักยภาพพนักงานสาธารณสุขต่างด้าว (พสต.) และอาสาสมัครสาธารณสุขต่างด้าว (อสต.) โดยจะใช้งบประมาณปี 2569 รวม 159 ล้านบาท ซึ่งจะเสนอสภาความมั่นคงแห่งชาติพิจารณา ก่อนส่งให้คณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบดำเนินการต่อไป  


สำหรับองค์กร International Rescue Committee (IRC) ยุติการให้บริการด้านสุขภาพในพื้นที่พักพิงชั่วคราวผู้หนีภัยสู้รบจากประเทศเมียนมา 7 แห่งใน 4 จังหวัด ได้แก่ แม่ฮ่องสอน ตาก กาญจนบุรี และราชบุรี ซึ่งมีผู้หนีภัยรวม 60,571 คน ตั้งแต่วันที่ 31 กรกฎาคม 2568 


ทำให้กระทรวงสาธารณสุข หารือกับหน่วยงานระหว่างประเทศ เช่น องค์การอนามัยโลก (WHO) องค์การความร่วมมือระหว่างประเทศแห่งญี่ปุ่น (JICA) สำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (UNHCR) และกองทุนระหว่างประเทศต่างๆ เพื่อสร้างความร่วมมือสนับสนุนการดูแลสุขภาพผู้หนีภัย 


โดยในส่วนของกระทรวงสาธารณสุข ได้จัดทำแนวทางการดูแลด้านสาธารณสุขรองรับช่วงระยะเปลี่ยนผ่าน 12 เดือน (1 ตุลาคม 2568 - 30 กันยายน 2569) เพื่อให้การจัดบริการเดินหน้าได้อย่างต่อเนื่อง สร้างความเชื่อมั่นให้กับนานาประเทศว่าไทยสามารถบริหารจัดการด้านมนุษยธรรมได้อย่างมีประสิทธิภาพ 

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

หมอมานพ แจงยิบ! เงื่อนไขใหม่ “มะเร็งรักษาทุกที่” ทำไมต้องมีใบส่งตัว

บัตรทอง ใช้งบผิดทาง ปลายปิดกับรพ.ใหญ่ ปลายเปิดกับร้านยา

“โรงพยาบาลท่าตูม” แนวรับด่านใหม่ – รองรับผู้ป่วยชายแดนกว่า 170 ราย หลัง รพ.แนวปะทะต้องปิดบริการ