แพทย์ระบาดวิทยาเชียงราย ไขข้อสงสัย! แม่น้ำปนเปื้อน-สารหนู เสี่ยงจริงแค่ไหน?

เวลานี้ประชาชนริมแม่น้ำกกเผชิญกับความกังวลเรื่องคุณภาพน้ำและสารปนเปื้อนโลหะหนัก โดยเฉพาะ “สารหนู” ที่เชื่อมโยงกับการทำเหมืองทองในประเทศเพื่อนบ้าน ขณะที่การเมืองไม่นิ่ง ก็ทำให้ไร้เจ้าภาพจัดการปัญหาอย่างต่อเนื่อง จึงมีเสียงเรียกร้องให้รัฐบาลใหม่เข้ามาแก้ปัญหาอย่างเร่งด่วน แม้จะอยู่เพียง 4 เดือนหรือไม่ก็ตาม


ขณะเดียวกันเสียงเรียกร้องให้มีคำอธิบายที่ชัดเจนจากนักวิชาการและแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง #เก็บตกจากวชิรวิทย์ #นักข่าวสาธารณสุข  ได้พูดคุยกับ “พญ.รัชดาภรณ์ ภาพวิจิตรศิลป์” แพทย์ระบาดวิทยา โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ เพื่อคลายข้อสงสัยเกี่ยวกับความเสี่ยงที่แท้จริงของสารหนูในน้ำและในร่างกาย แนวทางการตรวจสอบ ตลอดจนคำแนะนำให้ประชาชน “ตระหนักแต่ไม่ตระหนก” ในการปรับวิถีชีวิตเพื่อป้องกันผลกระทบระยะยาว




ถาม: คุณหมอช่วยอธิบายเรื่องคุณภาพน้ำและความสำคัญของการสังเกตน้ำในพื้นที่ได้ไหมครับ


ตอบ: เรื่องคุณภาพน้ำ ไม่ใช่แค่การตรวจสารเคมีเท่านั้น แต่ต้องดูหลายปัจจัยประกอบ เช่น สี กลิ่น หรือความผิดปกติจากเดิม ซึ่งชาวบ้านเองมักสังเกตเห็นก่อน เช่น ช่วงฤดูกาลนี้ น้ำปกติจะใสและไม่อุ่น แต่บางครั้งน้ำกลับมีสีขุ่นเหมือน “ชานม” หรือ “ชานมไข่มุก” ซึ่งเป็นสัญญาณให้ตั้งข้อสังเกต จากนั้นจึงมีการตรวจสอบอย่างเป็นระบบ


ปรากฏสีในน้ำบางแบบอาจดูน่ารังเกียจ แต่ไม่ได้หมายความว่าคุณภาพน้ำจะไม่ปลอดภัยทั้งหมด คุณภาพน้ำจะมีหลายตัวแปร ทั้งอินทรีย์และอนินทรีย์ ซึ่งต้องตรวจสอบหลายตัวเพื่อประเมินอย่างถูกต้อง


ในกรณีการตรวจเด็ก เช่น ที่เชียงใหม่ เราจะต้องแยกตรวจสารอินทรีย์และอนินทรีย์ เพื่อดูว่าแหล่งที่มาของสารปนเปื้อนเกิดจากสิ่งแวดล้อมรอบตัวหรือวิถีชีวิตของเด็ก


ถาม: หากสารปนเปื้อนมาจากเหมืองทองฝั่งประเทศเพื่อนบ้าน มีความเสี่ยงอย่างไรบ้าง


ตอบ: การทำเหมืองและการถลุงแร่ทองจะมีโลหะหนักปนอยู่ เช่น สารหนูและโลหะหนักอื่น ๆ กากแร่ที่เหลือจากการถลุงบางครั้งถูกจัดการไม่เหมาะสม อาจไหลลงแม่น้ำหรือปนสู่สิ่งแวดล้อมได้ การตรวจสอบต้องแยกให้ชัดเจนเพื่อติดตามผลกระทบและให้คำแนะนำในการปฏิบัติตัว


ถาม: การตรวจปัสสาวะของประชาชนทำไมถึงจำเป็น


ตอบ: เนื่องจากมีการตรวจพบสารหนูปนเปื้อนในแหล่งน้ำและบริเวณใกล้เคียง ผู้ที่อยู่ใกล้แหล่งน้ำถือเป็นกลุ่มสัมผัสหลัก ช่องทางเข้าสู่ร่างกายหลักคือการรับประทานอาหาร แต่บางกรณีก็อาจเกิดจากการสูดดมฝุ่นสาร หรือดูดซึมทางผิวหนัง ซึ่งการดูดซึมทางผิวหนังจะน้อยที่สุด


โดยเฉพาะเด็กถือเป็นกลุ่มสำคัญ เพราะแม้สัมผัสในปริมาณเท่าเดิมกับผู้ใหญ่ ผลกระทบต่อเด็กอาจมากกว่า เนื่องจากน้ำหนักตัวน้อยและร่างกายยังพัฒนาไม่เต็มที่


ถาม: ผลตรวจปัสสาวะพบสารหนูอยู่ระหว่าง 10–30 ไมโครกรัมต่อลิตร สะท้อนอะไร


ตอบ: ในระดับนี้ยังถือว่าอยู่ในเกณฑ์ปลอดภัย ไม่เกินมาตรฐานร่างกายสามารถขับออกได้ สารหนูในระดับต่ำไม่ทำให้เกิดอาการเฉพาะตัวและไม่มีผลระยะสั้นต่อสุขภาพ


ปัญหาจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อได้รับสารในปริมาณมากหรือสัมผัสต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน เช่น 5–10 ปี สำหรับผู้ที่สัมผัสในชีวิตประจำวันริมแม่น้ำ ปริมาณสารที่รับเข้าสู่ร่างกายจะน้อยมาก จึงไม่ก่อให้เกิดปัญหาทางสุขภาพทันที


ถาม: การตรวจซ้ำจำเป็นไหม


ตอบ: หากสัมผัสสารต่อเนื่องเป็นเวลานาน อาจต้องตรวจซ้ำเพื่อประเมินแนวโน้ม แต่ไม่จำเป็นต้องตรวจบ่อยเหมือนโรคติดเชื้อ


ถาม: การเปรียบเทียบระหว่างหมู่บ้านริมแม่น้ำกับหมู่บ้านที่อยู่ไกลจากน้ำสำคัญหรือไม่


ตอบ: ในเชิงวิชาการ การตรวจเปรียบเทียบไม่ได้จำเป็นเสมอ เพราะสารหนูไม่ได้พบเฉพาะในน้ำปนเปื้อน แต่อาจพบจากอาหารหรือแหล่งอื่น ๆ เช่น พืช ผัก ผลไม้ หรือแม้กระทั่งน้ำบาดาล


ถาม: ประชาชนควรปฏิบัติตัวอย่างไรเพื่อป้องกัน


ตอบ: สิ่งสำคัญคือไม่ไปดื่มน้ำจากแม่น้ำปนเปื้อน ไม่บริโภคสัตว์น้ำจากแหล่งนั้น และชำระล้างร่างกายหลังสัมผัสน้ำ การดูดซึมทางผิวหนังมีน้อย การปฏิบัติตามนี้เพียงพอจะลดความเสี่ยงได้มาก


ถาม: ประชาชนควรตระหนักแต่ไม่ตระหนกอย่างไร


ตอบ: การตระหนักคือรับรู้และปรับวิถีชีวิตให้เหมาะสม เช่น ไม่ใช้แม่น้ำในการเก็บปลาหรือทำเกษตรโดยตรง และร่วมกันดูแลสิ่งแวดล้อม ในขณะเดียวกันไม่ตระหนก เพราะเรามีวิธีป้องกันที่ชัดเจน การดื่มน้ำสะอาดและปฏิบัติตัวอย่างเหมาะสมจะลดความเสี่ยงได้มาก


ถาม: มีข้อสงสัยเรื่องการระเหยสารหนูจากน้ำหรือไม่


ตอบ: การระเหยสารหนูจากน้ำไม่เกิดขึ้น ช่องทางการสูดดมเกิดจากฝุ่นหรือไอสารจากการถลุงแร่โดยตรง


ถาม: สารหนูส่งผลต่อพัฒนาการเด็กจริงหรือ


ตอบ: ต้องได้รับสารต่อเนื่องและปริมาณสูงมาก ระยะยาวถึงอาจมีผลต่อระบบประสาทและสมาธิ แต่จากการสำรวจพบว่าส่วนใหญ่ปริมาณยังไม่สูงพอที่จะกระทบพัฒนาการ


ถาม: ประเด็นความเข้าใจผิดของประชาชนเกี่ยวกับสารหนู


ตอบ: ชาวบ้านมักเห็นน้ำขุ่นแล้วเชื่อว่าสารหนูสูง แต่ความขุ่นของน้ำไม่ได้เกิดจากโลหะหนักเพียงอย่างเดียว อาจมาจากของเสียหรือการขาดออกซิเจนในน้ำ จึงต้องอธิบายให้ชัดเจนว่าการตรวจวัดสารหนูยังอยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน


สรุป: ประชาชนควรตระหนักแต่ไม่ตระหนก ปฏิบัติตามคำแนะนำ เช่น ดื่มน้ำสะอาด หลีกเลี่ยงการบริโภคสัตว์น้ำและพืชจากน้ำปนเปื้อน ร่วมกันดูแลสิ่งแวดล้อม และติดตามข้อมูลอย่างรอบคอบ

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

หมอมานพ แจงยิบ! เงื่อนไขใหม่ “มะเร็งรักษาทุกที่” ทำไมต้องมีใบส่งตัว

บัตรทอง ใช้งบผิดทาง ปลายปิดกับรพ.ใหญ่ ปลายเปิดกับร้านยา

“โรงพยาบาลท่าตูม” แนวรับด่านใหม่ – รองรับผู้ป่วยชายแดนกว่า 170 ราย หลัง รพ.แนวปะทะต้องปิดบริการ