“สมศักดิ์” ชี้กัญชารอรัฐบาลใหม่กำหนดทิศทาง–เชื่อ “หมอสุภัทร” สิ่งดีคุ้มครอง

ย้ำจุดยืนนโยบายกัญชา ต้องใช้ทางการแพทย์-เป็นยาเสพติด บอกหมอสุภัทรไม่ต้องกังวลรัฐบาล หากมั่นใจว่าทำถูกต้องแล้ว ด้าน ทวี เชื่อกรณี ภาคปชช.ยืนสอบจัดซื้อวัคซีนซิโนแวค DSI ไม่ถูกการเมืองแทรก เป็นอิสระ สธ.–ยธ.จับมือ ยกระดับเยียวยาสุขภาพจิต “ผู้เสียหาย-จำเลย”




วันนี้ (8 กันยายน 2568) ที่ สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข จังหวัดนนทบุรี นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข และ พันตำรวจเอกทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานและสักขีพยานในการลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ ว่าด้วยการรักษา ช่วยเหลือเยียวยา และฟื้นฟูทางด้านร่างกายและจิตใจแก่ผู้เสียหาย จำเลย ผู้ต้องหา พยาน และบุคคลที่เกี่ยวข้อง


โดยนายสมศักดิ์ รัฐมนตรีสาธารณสุขให้สภาษณ์สื่อถึงนโยบายกัญชา โดยเฉพาะร่างกฎกระทรวงที่อยู่ระหว่างการเสนอเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี ว่า ขณะนี้ไม่ทันการพิจารณาในรัฐบาลชุดปัจจุบัน จึงเป็นหน้าที่ของรัฐบาลใหม่ที่จะกำหนดทิศทางต่อไป 


“สิ่งที่ผมดำเนินการมาคือการวางกฎเกณฑ์เพื่อให้เกิดความเรียบร้อย ลดความเดือดร้อนที่เกิดขึ้นจากการดำเนินกิจการโดยไม่มีกรอบกำกับ หากถึงที่สุดแล้วรัฐบาลใหม่เข้ามาก็ต้องเป็นผู้ตัดสินใจว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อไป” นายสมศักดิ์กล่าว


เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า หากมีรัฐมนตรีสาธารณสุขคนใหม่จะสามารถแก้ไขประกาศและกฎกระทรวงได้หรือไม่ นายสมศักดิ์ตอบว่า เป็นอำนาจของรัฐมนตรีใหม่ที่จะกำหนดว่าจะยกระดับเป็นกฎหมายหลัก กฎกระทรวง หรือประกาศภายใต้พระราชบัญญัติอื่น ๆ เช่น พ.ร.บ.คุ้มครองภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย พร้อมย้ำว่า แนวนโยบายที่ตนกำหนดไว้มีเป้าหมายเพื่อหลีกเลี่ยงการฟ้องร้อง และไม่ให้ประชาชนได้รับความเดือดร้อน


สำหรับจุดยืนต่อนโยบายกัญชา นายสมศักดิ์ย้ำชัดว่า ต้องอยู่ภายใต้การใช้ทางการแพทย์เป็นหลัก หรือไม่ก็ต้องถูกจัดให้อยู่ในลักษณะของยาเสพติด แต่ยอมรับว่ามีองค์ประกอบหลายด้านเข้ามาเกี่ยวข้อง ทำให้ไม่สามารถเดินไปถึงจุดนั้นได้เต็มที่ “อย่างน้อยสิ่งที่ทำไปก็ยังดีกว่าไม่ได้ทำอะไรเลย” เขากล่าว 



ไม่ห่วงปมสอบวินัย “หมอสุภัทร” เชื่อสิ่งดีดีจะคุ้มครอง 


นายสมศักดิ์ บอกอีกว่าการทำงานในช่วงเปลี่ยนผ่านรัฐบาล ยังต้องเดินหน้าทำงานจนกว่ารัฐบาลใหม่จะแถลงนโยบายในสภาผู้แทนราษฎร และยังเร็วเกินไปที่จะไปแนะนำว่าที่รัฐบาลใหม่ เรามีหน้าที่ทำงานของเราต่อไปจนกว่าจะถึงเวลานั้น รัฐบาลนี้ยังต้องทำงาน ไม่สามารถว่างเว้นได้ โดยเฉพาะงานที่ไม่เกี่ยวกับการใช้งบประมาณมากนัก หรือเร่งรัดนโยบายบางส่วนที่ยังไม่ถึงปลายทาง


เมื่อถามถึงความกังวลของ นพ.สุภทร ฮาสุวรรณกิจ ผอ.รพ.สะบ้าย้อย ประธานชมรมแพทย์ชนบท ที่ถูกสอบวินัยร้ายแรงการจัดซื้อ ATK ในภารกิจแพทย์ชนบทบุกกรุง หากมีการเปลี่ยนรัฐบาล นายสมศักดิ์ย้ำว่า “ไม่ต้องกังวล เพราะคุณหมอสุภัทร มั่นใจว่าสิ่งที่ท่านทำถูกต้องแล้ว เดี๋ยวก็มีสิ่งดี ๆ มาคุ้มครองเอง เรื่องนี้ยังไม่ถึงที่สุด ใจเย็น ๆ”


สำหรับประเด็นการตรวจสอบการจัดซื้อวัคซีนซิโนแวคและชุดตรวจ ATK ของกรมควบคุมโรค ในสมัยที่นายอนุทิน ชาญวีรกูล ดำรงตำแหน่ง รมว.สาธารณสุข โดยมีการยื่นเรื่องไปที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) นายสมศักดิ์ระบุสั้น ๆ ว่า “ไม่ทราบและไม่ได้ติดตามเรื่องนี้”


ด้าน พันตำรวจเอก ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม กล่าวเสริมนายสมศักดิ์ ว่าเรื่องดังกล่าวไม่ได้รับทราบโดยตรง เนื่องจากศาลไม่ได้เปิดให้เข้าไปกำกับหรือใช้อำนาจแทรกแซง


ขณะที่รัฐธรรมนูญและกฎหมายได้บัญญัติไว้อย่างชัดเจนว่ากระบวนการยุติธรรมต้องมีประสิทธิภาพ และต้องมีหลักประกันให้ผู้ปฏิบัติงานเป็นอิสระ ปราศจากการครอบงำหรือการแทรกแซงใด ๆ


“ตรงนี้อยากให้สังคมมั่นใจ เพราะระบบยุติธรรมเป็นสหวิชาชีพ เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องมาจากหลายหน่วยงาน ไม่มีใครมีอิทธิพลเหนือใคร ทุกคนต่างต้องการพัฒนาการทำงานอย่างเป็นวิชาชีพ” รมว.ยุติธรรม กล่าว


นอกจากนี้ เมื่อถูกถามถึงกระแสข่าวการกลับประเทศไทยของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี นายสมศักดิ์กล่าวว่า มองไม่เห็นเหตุผลใดที่อดีตนายกฯ จะไม่กลับมา และเชื่อว่าการกลับมาจะไม่ส่งผลเสียร้ายแรงต่อพรรคเพื่อไทย ส่วนกรณีมติแพทยสภาที่เกี่ยวข้องกับแพทย์ผู้รักษาบางกรณีนั้น นายสมศักดิ์เห็นว่า ควรรอให้ถึงวันพิจารณาจริง แต่เชื่อว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่



สธ.–ยธ.จับมือ ยกระดับเยียวยาสุขภาพจิต “ผู้เสียหาย-จำเลย”



สำหรับการลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ ว่าด้วยการรักษา ช่วยเหลือเยียวยา และฟื้นฟูทางด้านร่างกายและจิตใจแก่ผู้เสียหาย จำเลย ผู้ต้องหา พยาน และบุคคลที่เกี่ยวข้อง ระหว่างกรมสุขภาพจิต และ กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ


นายสมศักดิ์ บอกว่าความร่วมมือนี้เกิดจากความตั้งใจของทั้งสองกระทรวงที่เห็นตรงกันว่า การคุ้มครองและดูแลประชาชนไม่ควรจำกัดเพียงด้านร่างกาย แต่ต้องครอบคลุมถึงสุขภาพจิตด้วย โดยเฉพาะในกรณีที่ผู้เสียหายถูกกระทำด้วยความรุนแรง หรือต้องเผชิญกับเหตุการณ์ที่กระทบต่อจิตใจ


“รัฐบาลให้ความสำคัญกับสุขภาพจิตอย่างจริงจัง นายกรัฐมนตรีได้ประกาศให้เดือนพฤษภาคมเป็น ‘เดือนแห่งสุขภาพใจ’ เพื่อสร้างความตระหนักรู้ และผลักดันให้การดูแลสุขภาพจิตเป็นเรื่องเร่งด่วนและเข้าถึงได้รวดเร็ว โดยต้องคำนึงถึงความเป็นส่วนตัวและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์” รมว.สาธารณสุขกล่าว


ด้าน พ.ต.อ.ทวี บอกว่าในกระบวนการยุติธรรมที่ผ่านมา การเยียวยามักเน้นที่ร่างกายและทรัพย์สิน แต่ในความเป็นจริง ความเจ็บปวดทางจิตใจมีผลยาวนานและลึกซึ้งกว่า


“สุภาษิตไทยบอกว่า ‘ใจเป็นนาย กายเป็นบ่าว’ หากร่างกายหายแต่ใจยังบอบช้ำ ผู้เสียหายก็ไม่สามารถใช้ชีวิตได้อย่างปกติสุข ความร่วมมือครั้งนี้จึงถือเป็นการยกระดับการคุ้มครองสิทธิประชาชน เพราะไม่ใช่แค่เยียวยาทางกาย แต่ยังดูแลจิตใจและจิตวิญญาณ เพื่อให้กลับมาอยู่ในสังคมได้อย่างมั่นคง” พ.ต.อ. ทวีกล่าว


รมว.ยุติธรรมยังย้ำว่า ความช่วยเหลือด้านสุขภาพจิตไม่ได้จำกัดเฉพาะผู้เสียหาย แต่ยังครอบคลุมถึงผู้ถูกกล่าวหาและผู้ต้องขัง ซึ่งปัจจุบันมีเกือบ 700,000 คน ส่วนผู้เสียหายจากคดีต่าง ๆ มีประมาณ 1 ล้านคน “ทั้งหมดล้วนเป็นมนุษย์ที่ต้องกลับมาใช้ชีวิตในสังคม การดูแลจิตใจจึงเป็นการลงทุนสำคัญของประเทศ”


ทั้งนี้ กระทรวงสาธารณสุข โดยกรมสุขภาพจิต ได้เตรียมขยายบริการด้านสุขภาพจิตให้ครอบคลุมพื้นที่มากขึ้น หลายจังหวัดเรียกร้องให้มีโรงพยาบาลเฉพาะทางด้านจิตเวชเพิ่มเติม เพื่อรองรับความต้องการที่สูงขึ้น โดยเฉพาะผู้ที่เผชิญเหตุรุนแรง เช่น การทำร้ายร่างกาย หรือการถูกล่วงละเมิดทางเพศ ที่มักเกิดอาการหวาดกลัวและวิตกกังวลในระยะยาว


รมว.สาธารณสุขและรมว.ยุติธรรมเห็นตรงกันว่า ความร่วมมือครั้งนี้เป็น “นวัตกรรมใหม่” ของภาครัฐ ที่จะช่วยลดความเหลื่อมล้ำในการดูแลประชาชน และทำให้การเยียวยาไม่หยุดอยู่แค่ร่างกาย แต่ครอบคลุมไปถึงการฟื้นฟูสุขภาพจิต เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีกว่าของผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่าย 



/////

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

หมอมานพ แจงยิบ! เงื่อนไขใหม่ “มะเร็งรักษาทุกที่” ทำไมต้องมีใบส่งตัว

บัตรทอง ใช้งบผิดทาง ปลายปิดกับรพ.ใหญ่ ปลายเปิดกับร้านยา

“โรงพยาบาลท่าตูม” แนวรับด่านใหม่ – รองรับผู้ป่วยชายแดนกว่า 170 ราย หลัง รพ.แนวปะทะต้องปิดบริการ