พญ.นิตยา ชี้ กฎระเบียบ พม. ปฏิเสธดูแลผู้สูงอายุที่ติดเชื้อ HIV “ล้าหลัง–เลือกปฏิบัติ”
ย้ำองค์ความรู้ชัด ผู้ติดเชื้อสามารถอยู่ร่วมในสังคมได้โดยไม่เป็นอันตรายขณะที่ “รมว.สธ.” ย้ำระบบรัฐมีงบและกลไกรองรับผู้ป่วย HIV ชี้กองทุนยังเหลือใช้ ไม่ควรปล่อยผู้ติดเชื้อไร้ที่พึ่ง ด้าน “ธนกฤต” เผยแผนรับมือผู้ป่วย HIV วัดพระบาทน้ำพุ ยืนยันเร่งเคลื่อนย้ายผู้ป่วยภายใน 30 วัน ประสาน สธ., พม., มูลนิธิ และหน่วยงานเกี่ยวข้องดูแลต่อ
จากกรณี ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ชี้แจงว่า ไม่สามารถรับ ผู้ป่วย HIV/เอดส์วัดพระบาทน้ำพุที่ต้องหาสถานที่รองรับใหม่ตามระเบียบการรับเข้าสถานสงเคราะห์ภายใต้สังกัดกระทรวงฯ เนื่องจากเข้าข่าย “โรคร้ายแรง 5 กลุ่ม” ได้แก่ วัณโรค, โรคเอดส์, โรคเท้าช้าง, โรคหิด และโรคเรื้อน
วันนี้ (3 ส.ค. 68) พญ.นิตยา ภานุภาค ผู้อำนวยการบริหาร สถาบันเพื่อการวิจัยและนวัตกรรมด้าน HIV (IHRI) ให้สัมภาษณ์ #เก็บตกจากวชิรวิทย์ ว่าการปฏิเสธดังกล่าวไม่เพียงสะท้อนทัศนคติที่ล้าหลัง แต่ยังเป็นการเลือกปฏิบัติกับผู้ติดเชื้อ HIV อย่างชัดเจน
พญ.นิตยา อธิบายว่า หากมองในหลักการ ผู้มีเชื้อ HIV ไม่ว่าจะได้รับการรักษาหรือไม่ ก็สามารถใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคมได้ตามปกติ โดยไม่จำเป็นต้องมีข้อกำหนดพิเศษใด ๆ
“HIV ติดต่อได้เพียง 3 ทาง คือ ทางเพศสัมพันธ์ ทางเลือด และจากแม่สู่ลูก การอยู่ในบ้านพัก การทำงาน หรือการใช้ชีวิตประจำวัน ไม่ทำให้เชื้อแพร่กระจายสู่ผู้อื่นได้เลย” พญ.นิตยา กล่าว
ยิ่งไปกว่านั้น ความรู้ทางการแพทย์ปัจจุบันยังยืนยันว่า หากผู้ติดเชื้อได้รับยาต้านไวรัสและควบคุมปริมาณไวรัสได้จนตรวจไม่พบ (U=U หรือ Undetectable = Untransmittable) จะไม่สามารถแพร่เชื้อไปยังใครได้ แม้ผ่านการมีเพศสัมพันธ์ก็ตาม
“กฎระเบียบล้าหลัง” ต้องทบทวนใหม่
พญ.นิตยา ระบุว่า แม้ พม. จะอ้างกฎระเบียบว่า “ไม่สามารถรับผู้ป่วยโรคติดต่อร้ายแรง” ได้ แต่แท้จริงแล้วปัญหาอยู่ที่การตีความและทัศนคติของเจ้าหน้าที่ที่ยังไม่สอดคล้องกับองค์ความรู้ทางการแพทย์
“หากใช้ความรู้ที่เรามีอยู่ จะเห็นชัดว่า HIV ไม่ใช่เหตุผลที่จะกีดกันใครออกจากสังคม การปฏิเสธผู้ติดเชื้อเข้าบ้านพักจึงสะท้อนว่ากฎระเบียบและทัศนคติยังไม่ทันสมัย” พญ.นิตยา ระบุ
เมื่อถูกถามถึงความจำเป็นในการแก้ไขกฎระเบียบ พญ.นิตยา ยืนยันว่า ควรมีการทบทวนโดยด่วน เพราะไม่เพียงเป็นอุปสรรคต่อการเข้าถึงการดูแล แต่ยังละเมิดสิทธิและสร้างความไม่เท่าเทียมในสังคม
เธอชี้ว่า กรณีของ พม. เป็นเพียง “ตัวอย่างหนึ่ง” ที่สะท้อนว่า กฎระเบียบภาครัฐยังไม่ก้าวทันความรู้ ทำให้เกิดการเลือกปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นกรณีการรับเข้าทำงาน การเลื่อนตำแหน่ง หรือการตรวจเลือดเพื่อพิจารณาสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ
พญ.นิตยา ย้ำชัดว่า การที่หน่วยงานรัฐปฏิเสธผู้ติดเชื้อ HIV เพียงเพราะสถานะทางสุขภาพ ถือเป็นการเลือกปฏิบัติที่ไม่อาจอธิบายได้ด้วยเหตุผลทางวิชาการอีกต่อไป
“นี่เป็นการเลือกปฏิบัติอย่างแน่นอน และเป็นสิ่งที่สังคมไม่ควรยอมรับ เพราะองค์ความรู้ทางการแพทย์บอกเราชัดเจนแล้วว่า ผู้ติดเชื้อ HIV สามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างปลอดภัย” พญ.นิตยา กล่าว
สมศักดิ์ ย้ำ ระบบรัฐมีงบและกลไกรองรับผู้ป่วย HIV
ด้านนายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวถึงกรณีผู้ป่วย HIV จากวัดพระบาทน้ำพุไม่มีที่ไป หลังถูกปฏิเสธจากกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) โดยอ้างว่าเป็น “โรคร้ายแรง” ว่า ไม่ควรปล่อยให้ผู้ป่วยกลุ่มนี้ไร้ที่พึ่ง เนื่องจากระบบของรัฐมีงบประมาณและกลไกดูแลรองรับอยู่แล้ว
“ผู้ป่วยกลุ่มนี้มีคนรับผิดชอบอยู่ ไม่ว่าจะเป็นกระทรวงสาธารณสุขหรือหน่วยงานอื่น ๆ ระบบประกันสุขภาพถ้วนหน้า และกองทุนที่เกี่ยวข้องกับ HIV ยังมีงบประมาณเพียงพอ” สมศักดิ์ กล่าว
รมว.สธ. ระบุว่า งบกองทุนด้านสุขภาพ โดยเฉพาะกองทุน HIV ยังใช้ไม่หมด ตัวอย่างเช่น งบจัดซื้อถุงยางอนามัย ที่รัฐจัดสรรไว้ปีละหลายสิบล้านชิ้น แต่มีการใช้จริงไม่ถึงครึ่ง
“เงินทองมีอยู่แล้ว แต่ต้องบริหารให้พอดี พอเหมาะ เอามาใช้ให้เกิดประโยชน์กับผู้ป่วยจริง ๆ” สมศักดิ์ ระบุ
รมว.สธ. ย้ำด้วยว่า หากผู้ป่วย HIV ไม่มีที่พึ่งพิง หน่วยงานในระดับจังหวัด โดยเฉพาะสำนักงานสาธารณสุขจังหวัด (สสจ.) มีหน้าที่ต้องประสานดูแลอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ผู้ติดเชื้อเข้าสู่ระบบการรักษาของรัฐ
ด้านนายกองตรี ธนกฤต จิตรอารีย์รัตน์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวเสริมว่าสถานการณ์ผู้ป่วย HIV และผู้ป่วยโรคอื่น ๆ ที่วัดพระบาทน้ำพุว่า ปัจจุบันมีผู้ป่วยรวมราว 200 คน แบ่งเป็นผู้ที่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ และผู้ป่วยติดเตียงซึ่งไม่มีญาติดูแล
ขณะนี้ กระทรวงสาธารณสุขได้รับผู้ป่วยติดเตียงจำนวน 18 รายเข้าสู่การดูแลแล้ว ส่วนผู้ป่วยที่ยังช่วยเหลือตนเองได้ หากมีญาติพร้อมดูแล ก็ส่งกลับไปอยู่กับครอบครัว
ในส่วนของผู้ป่วย HIV ที่ไม่มีญาติพึ่งพา ต้องอาศัยการประสานกับกระทรวงการพัฒนาสังคมฯ (พม.) แต่ติดข้อจำกัดทางกฎหมายที่กำหนดว่า “โรคร้ายแรง” ไม่สามารถเข้ารับในสถานดูแลได้
กระทรวงสาธารณสุขจึงได้หารือกับราชการจังหวัด และประสานไปยังมูลนิธิที่เกี่ยวข้องกับ HIV ทั่วประเทศกว่า 13 แห่ง เพื่อขอให้กระจายการดูแลผู้ป่วยจากวัดพระบาทน้ำพุ โดยยกตัวอย่างพื้นที่ที่มีมูลนิธิ เช่น ปทุมธานี พัทยา และชลบุรี
แผนเร่งด่วน เคลื่อนย้ายผู้ป่วยภายใน 30 วัน
นายธนกฤต ระบุว่า ได้มีคำสั่งให้สำนักงานสาธารณสุขจังหวัด (สสจ.) เร่งเคลื่อนย้ายผู้ป่วยทั้งหมดออกจากวัดภายใน 30 วัน โดยหากไม่สามารถหาที่รองรับได้ทัน โรงพยาบาลของรัฐจะต้องรับผู้ป่วยเหล่านี้ไว้ชั่วคราว
นอกจากนี้ ยังได้หารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น สำนักพุทธศาสนา แบ่งดูแลพระสงฆ์ที่เจ็บป่วย รวมถึง พม. ที่สามารถรับผู้ป่วยบางกลุ่มที่ไม่เข้าเกณฑ์ “โรคร้ายแรง”
ปัญหาการเงินของวัด – โรงเรียนต้องปิด
เลขานุการรัฐมนตรีว่าการ สธ. เปิดเผยว่า ปัจจุบันวัดพระบาทน้ำพุเหลือเงินเพียง 1.9 ล้านบาท ขณะที่รายจ่ายต่อเดือนสูงถึง 2 ล้านบาท จึงไม่สามารถดำเนินการต่อได้
“นี่คือการแข่งกับเวลา เพราะทรัพย์สินของวัดถูกอายัดแล้ว วัดไม่สามารถจัดการค่าใช้จ่ายเองได้ต่อไป” ธนกฤตกล่าว
นอกจากสถานดูแลผู้ป่วย วัดพระบาทน้ำพุยังมีโรงเรียนและโครงการกีฬาที่ดูแลเด็กเกือบ 200 คน ซึ่งจำเป็นต้องปิด และย้ายเด็กไปยังสถานศึกษาอื่น รวมถึงกิจกรรมด้านกีฬาและธุรกิจที่อยู่ภายใต้การบริหารของมูลนิธิ ก็ต้องถูกตรวจสอบว่าจะเดินหน้าต่อไปได้หรือไม่
เมื่อถูกถามถึงข้อเรียกร้องให้ สธ. ตรวจสอบการใช้งบประมาณของวัด นายธนกฤตตอบว่า กระทรวงสาธารณสุขได้เข้าไปตรวจสอบด้านการขึ้นทะเบียนสถานพยาบาลแล้ว แต่ไม่พบความผิดปกติ ส่วนเรื่องการเงินอยู่ในความรับผิดชอบของคณะกรรมการวัดและเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ดำเนินคดีต่อไป.
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น